Latest Post

(เก็บมาฝาก)สถานที่ท่องเที่ยวและเมืองโบราณของอียิปต์ Hurghada-Luxor

Written By Unknown on วันศุกร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2553 | 04:09

Hurghada (ar. : Al Ghardaqah, الغردقة) เป็นเมืองในทะเลแดง Governorate ของอียิปต์ เป็นศูนย์กลางการ ท่องเที่ยวหลักและเมืองใหญ่อันดับสอง (หลังจากสุเอซ) ในอียิปต์ตั้งอยู่บนชายฝั่งทะเลแดง

เมือง ก่อตั้งขึ้นในศตวรรษที่ 20 ต้นและตั้งแต่ช่วงปี 1980 ได้รับการขยายอย่างต่อเนื่องโดยนักลงทุนชาวอียิปต์และชาวต่างประเทศที่จะ เป็นรีสอร์ทริมทะเลชั้นนำในทะเลแดง โรงแรม ฮอลิเดย์หมู่บ้านและอำนวยความสะดวกสำหรับกีฬาทางน้ำ sailboarders, yachtsmen, นักดำน้ำลึกและ snorkelers
Al - Mahmeya เป็นสวนสาธารณะแห่งชาติของการป้องกันชายฝั่งของ Hurghada

Hurghada ทอดยาวประมาณ 36 กิโลเมตร (22 ไมล์) ตามแนวชายฝั่งทะเลและมันไม่ถึงไกลเป็นทะเลทรายโดยรอบ รีสอร์ทแห่งนี้เป็นสถานที่สำหรับนักท่องเที่ยวอียิปต์จากไคโร, เดลต้าและตอนปลายอียิปต์รวมทั้งนักท่องเที่ยวจากยุโรปแพคเกจวันหยุดโดยเฉพาะ อย่างยิ่ง Serbians, Italians, รัสเซีย, เสา, Czechs และชาวเยอรมัน จนกระทั่งไม่กี่ปีที่ผ่านมามันเป็นหมู่บ้านชาวประมงเล็ก ๆ วันนี้นับ Hurghada 248,000 ชาวและแบ่งออกเป็นสามส่วนคือ Downtown (El Dahar) เป็นส่วนที่เก่า; Sekalla เป็นใจกลางเมืองและ El Memsha (ถนนวิลเลจ) เป็นส่วนที่ทันสมัย Sakkala เป็นไตรมาสที่โรงแรมค่อนข้างเจียมเนื้อเจียมตัว Dahar เป็นที่ที่ตลาดสดที่ใหญ่ที่สุดของเมืองที่ทำการไปรษณีย์และสถานีรถโดยสารทาง ไกลตั้งอยู่

เมืองให้บริการโดย Hurghada สนามบินนานาชาติที่มีการจราจรกำหนดให้ผู้โดยสารและจากไคโรและการเชื่อมต่อ โดยตรงกับหลายเมืองในยุโรป สนามบินนี้ได้ รับการปรับปรุงมากเพื่อรองรับการจราจรที่เพิ่มขึ้น Hurghada เป็นที่รู้จักกันสำหรับกิจกรรมกีฬาทางน้ำยามค่ำคืนและอากาศที่อบอุ่น รายวัน hovers อุณหภูมิรอบ 30 องศาเซลเซียสมากที่สุดของปี ชาวยุโรปใช้ จ่ายจำนวนมากของพวกเขาคริสต์มาสและปีใหม่วันหยุดใน Hurghada ส่วนใหญ่ชาวเยอรมันและชาวอิตาเลียน...........



Luxor. เป็นหนึ่งในเมืองที่เก่าแก่ที่สุดและสำคัญที่สุดของอียิปต์. Luxor. เรียกว่าพิพิธภัณฑ์ทางอากาศที่ใหญ่ที่สุดเปิด. วันนี้เป็นศูนย์กลางเมืองท่องเที่ยวยอดนิยม. ภายใต้ชื่อ Luxor. มักจะสรุปได้รับรางวัลสาม sites โบราณและ Thebes, Karnak และ Luxor. เอง. Luxor. สร้างขึ้นบนซากปรักหักพังของ Thebes (Thebes, Egypt). Thebes เป็นเมืองหลวงของราชอาณาจักรอียิปต์ใหม่ 1550-1069 พ.ศ. เมืองสร้างขึ้นตามกฎของศาสนาอียิปต์. ในฝั่งตะวันออกของแม่น้ำไนล์เป็นบ้านที่อยู่อาศัย, วัดและอาคารเพื่อการเลี้ยงชีพ. ธนาคารตะวันตกของแม่น้ำไนล์ถูกฝังศพและคุณจะพบสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญ. ในธนาคารตะวันตกของแม่น้ำไนล์ย์ของ Kings, Temple of Queen Hatshepsut และลีย์ของ Queens Valley ของ Kings และผู้อื่นทำหน้าที่เป็นสถานที่พิธีฝังศพของ pharaohs และขุนนางเป็น. มีการค้นพบสุสานหิน 63. ที่สำคัญที่สุดคือความตายของ Ramses II. และ Tutankhamen. วัด Queen Hatshepsut เป็นโครงสร้างที่ผิดปกติฝังอยู่ในหิน. ในธนาคารของแม่น้ำไนล์นั้นเป็นหนึ่งในวัดอียิปต์ที่ดีที่สุดรักษา. วัดได้เฉพาะสามพระเจ้า, และ Amon, Mut และ Khonsu. มุมมองที่สวยที่สุดของวัดคือ sphinxes Aleje. ซอยแรกนำไปสู่ Karnak - เมืองวัดของ Amon. ซอย Sphinxes ใกล้ obelisk ยืนสูงหลังเขาสองรูปปั้นขนาดใหญ่ของ Ramses II. รูปปั้นยาม 42 เมตรสูง 65 เมตรกว้าง pylons. ในลานของ pylon และ Great นางจรัล 74 ประกอบด้วยชุดของคอลัมน์ 16 เมตรสูง. สำหรับแนวต้นไม้ย่อมาจากวัดของ Amenhotep III. ในธนาคารของแม่น้ำไนล์ที่คุณจะพบสถานที่ที่น่าสนใจและพิพิธภัณฑ์ mummification. ในพิพิธภัณฑ์นี้เราสามารถเรียนรู้เกี่ยวกับการ mummification. มีวิสัยทัศน์และเครื่องมือที่จำเป็นในการ mummification เป็น. คุณแม่ Masaherty พิพิธภัณฑ์จะไม่เป็นอันตราย. หมู่ luxorským และวัด Karnak เป็นพิพิธภัณฑ์ Luxor.ské. ที่นี่เราสามารถหา artifacts ที่น่าสนใจพบใน Luxor.u และบริเวณใกล้เคียงของ. Karnak จะซับซ้อนวัดที่ใหญ่ที่สุดในอียิปต์และวัด Amónův และทะเลสาบศักดิ์สิทธิ์รักษา skarabeem ใหญ่. ที่เป็นที่นิยมสำหรับนักท่องเที่ยวนอกเหนือจากการอบรมเชิงปฏิบัติการ alabaster อนุสาวรีย์ ..

ลักซอร์ (Luxor) หรือนครแห่งความตาย (The City of The Dead) อยู่ทางตอนใต้ของเมืองไคโร ประเทศอียิปต์ กว่า 650 กิโลเมตร ตั้งอยู่ทั้งสองฝั่งของแม่น้ำไนล์ มีแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจ
มากมาย ทั้งยังเป็นเมืองท่องเที่ยวที่สำคัญอีกเมืองของอียิปต์ และเป็นที่นิยมของชาวฝรั่งเศสและชาวยุโรป ส่งผลให้บรรดาโรงแรมระดับห้าดาวต่างพากันจับจองพื้นที่ริมน้ำฝั่งตะวันออก ของแม่น้ำไนล์ เพื่อให้นักท่องเที่ยวรื่นรมย์กับทัศนียภาพอันงดงามของลำน้ำไนล์ ยิ่งยามแสงอาทิตย์ส่องประกายระยิบระยับยามอาทิตย์อัสดงยิ่งเป็นภาพอันน่า ประทับใจ

ในอียิปต์ แนวถนนเลียบแม่น้ำไนล์นั้นจะมีคำต่อท้ายชื่อว่า คอร์นิส (Corniche) เช่น Sharia Al Corniche
ดังนั้น หากเห็นชื่อถนนในเมืองสำคัญที่มีคำนี้ต่อท้าย ก็จะรู้ได้ทันทีว่าเป็นถนนเลียบแม่น้ำไนล์ ซึ่งการันตีได้ว่าหากจองโรงแรมบนถนนเหล่านั้นก็จะได้เห็นวิวแม่น้ำไนล์แน่ นอน ในเมืองลักซอร์นี้มีโรงแรมชื่อดังที่เป็นที่พำนักของเหล่าเซเล็บฯ ระดับอินเตอร์อยู่มากมาย อย่างที่ขึ้นชื่อก็เช่น Winter Palace Hotel ก่อตั้งเมื่อปี ค.ศ. 1887 ซึ่งเคยเป็นที่พำนักของ อกาธา คริสตี้ มาแล้ว น่านน้ำหน้าโรงแรมแห่งนี้จะมีเรือสำราญขนาดใหญ่มาจอดเทียบท่ารอนักท่อง เที่ยวอยู่มากมาย ซึ่งกิจกรรมการท่องเที่ยวของที่นี่ก็มีให้นักท่องเที่ยวได้เลือกสนุกหลาก หลาย จะชมเมืองแบบลอยฟ้าด้วยการขึ้นบอลลูนลอยขึ้นชมโบราณสถานจากเบื้องบนก็แปลกตา ไปอีกแบบ หรืออยากล่องแม่น้ำไนล์ด้วยเรือใบโบราณ Felucca ก็มีให้เลือกเช่ามากมาย หรือจะชมเมืองด้วยรถม้าก็มีบริการให้เลือกอย่างสะดวกสบาย ทั้งยังเลือกข้ามไปฝั่งตะวันตกของแม่นํ้าไนล์ หรือเขตเวสต์แบงก์ (West Bank) เพื่อไปเยี่ยมชมซากเมืองโบราณธีบส์ (Thebes) ซึ่งเป็นที่ตั้งของหุบเขากษัตริย์ (Valley of The Kings) แหล่งรวมสุสานขององค์ฟาโรห์กว่า 60 สุสาน ที่ซ่อนอยู่ตามเนินเขาเตี้ยๆ โดยเมื่อซื้อบัตรผ่านจะเลือกเข้าชมได้ 3 สุสาน

จากนั้นหากใครยังไม่อิ่มกับความอัศจรรย์ของสุสานกษัตริย์ อยากชื่นชมกับความงามของภาพวาดภายในสุสานอีก ก็สามารถซื้อบัตรผ่านเพิ่มได้ที่หน้าสุสานเลย โดยเหนือทางเข้าสุสานจะมีป้ายอธิบายผังและบอกว่าเป็นของฟาโรห์องค์ใด การสร้างเป็นการเจาะลึกเข้าไปในหุบเขา แต่ที่น่าทึ่งคือแสงอาทิตย์สามารถส่องถึงห้องบรรจุพระศพได้ โดยส่วนใหญ่เวลาเข้าไปก็จะเดินลงทางแคบๆ ที่พอเดินสวนกันได้สองคน คือทางขึ้นกับทางลง สองข้างทางเดินเป็นรูปอักษรภาพเฮียโรกลิฟิกส์ (Hieroglyphics) สีสดใส ที่มีรั้วกระจกป้องกันการถูก
นักท่องเที่ยวจับต้องลูบคลำภาพวาด เพราะอักษรภาพได้ถูกกัดเซาะทำลายไปมากจึงต้องป้องกันไว้ให้รุ่นหลังได้ดู นานๆ นับเป็นที่ที่ยังคงรักษาสภาพของอักษรภาพให้มีสีสันสดใสอยู่

ส่วนเรื่องราวที่เล่าบนผนังนั้นเป็นเรื่องการสู้รบและชัยชนะ ของฟาโรห์เจ้าของสุสาน ซึ่งทางลงจะชันและลึกลงไปเรื่อยๆ ภายในสุสานค่อนข้างร้อน แห้ง และอับอากาศ แนะนำให้พกน้ำดื่มติดตัวไปด้วยจะช่วยยืดเวลาให้เดินดูได้นานขึ้น หากคิดว่าลงไปแล้วจะได้เห็นสมบัติของฟาโรห์อย่างเต็มอิ่มนั้นไม่ใช่เลย เพราะสมบัติอัน
ล้ำค่าได้ถูกโจรนักล่าสมบัติขโมยไปก็มาก บ้างก็กระจายตัวไปอยู่ตามพิพิธภัณฑ์ทั้งในและต่างประเทศ โดยเฉพาะสมบัติของตุตันคาเมนนั้นถูกย้ายไปอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ในกรุงไคโรหมด แล้ว สุสานของกษัตริย์ที่แนะนำให้เข้าชมน่าจะเป็นของกษัตริย์ราทเสสที่ 3 ราทเสสที่ 6 และราทเสสที่ 9 ซึ่งก็จะมีบริเวณพักผ่อนและหลบแดดไว้ให้นักท่องเที่ยวได้พักเอาแรงก่อนลงไป ตะลุยสุสานต่อไป และพอหมดแรงก็มีรถชัตเทิลมารับไปยังลานจอดรถ ห้องน้ำก็มีไว้บริการมากมาย สะอาดดีด้วย ไม่ต้องกลัว แต่อย่าลืมพกแบงก์เล็กไว้ทิปคนแจกทิชชูด้วย


เสร็จจากเยี่ยมชมสุสานอาจจะพักร้อนไปดูโรงงานทำเครื่องใช้ ด้วยหินอลาบาสเตอร์ (Alabaster) ซึ่งจะมีชาว
พื้นเมืองมาสาธิตวิธีขุดและกลึงหินอลาบาสเตอร์ที่มีหน้าตาคล้ายหินอ่อนบ้าน เรา เครื่องใช้ที่ผ่านการกลึงและขุดแล้วมักจะเป็นแจกันหรือขวด ซึ่งสมัยก่อนชาวอียิปต์โบราณจะใช้เครื่องใช้ที่ทำจากหินเหล่านี้ใส่เครื่อง หอมต่างๆ หรือในพิธีทำมัมมี่ก็ไว้เก็บเครื่องในของเจ้าของมัมมี่ แต่ละโหลจะมีอักษรภาพและคำสาปกำกับ ฝาปิดจะเป็นเทพเจ้าปางต่างๆ ซึ่งเป็นผู้คุ้มครองเครื่องในเหล่านั้นไว้มิให้ใครเปิดก่อนเวลาอันควร ซึ่งหากถูกเปิดออกจะทำให้มัมมี่ไม่สามารถคืนชีพได้

พอคลายเหนื่อยหายร้อนกันแล้วก็ไปชมวิหารฮัสเชฟสุต (Hatshepsut) กันต่อ วิหารนี้มีหน้าตาแปลกกว่าที่อื่น
เพราะสร้างแกะลึกเข้าไปในหุบเขา และเจ้าของเป็นพระนางฮัสเชฟสุต ซึ่งชาวอียิปต์เรียกว่าราชินีมีเครา เพราะพระนางขึ้นครองราชย์โดยพรางตัวเป็นฟาโรห์ ด้วยการฉลองพระองค์เป็นฟาโรห์ด้วยเครื่องฉลองพระองค์เต็มยศ ทั้งเครื่องสวมศีรษะและเคราในยามออกว่าราชการ เพื่อให้ประชาชนคิดว่าพระนางเป็นชาย และยังทรงมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับนักบวชผู้ออกแบบวิหารที่เป็นสุสานนี้ให้ แก่พระนาง ในเวลาต่อมา พระนางถูกลอบปลงพระชนม์ และวิหารก็ถูกทำลายและขูดฆ่าชื่อพระนางทิ้ง แต่ปัจจุบันก็ยังคงสามารถเห็นร่องรอยความยิ่งใหญ่ของวิหารแห่งนี้ได้

อีกจุดชมวิวระหว่างทางกลับไปที่เขตอีสต์แบงก์ (The East Bank) หรือฝั่งเมืองลักซอร์นั้นจะผ่านรูปปั้นยักษ์
แมมม่อน (Memmon Gigantic) ซึ่งสามารถใช้เวลาไม่มากในการกระโดดลงไปถ่ายรูปคู่ได้ แล้วค่อยกลับเข้า
เมืองลักซอร์เพื่อไปชื่นชมเขตตะวันออก (East Bank) ของเมืองลักซอร์ ชมวิหารคาร์นัค (Karnak Temple)
และวิหารลักซอร์ (Luxor) ซึ่งมีทางเดินเชื่อมต่อถึงกัน ประวัติโดยย่อของวิหารคาร์นัคนั้นเป็นชื่อของหมู่บ้านที่ตั้งอยู่ด้านขวาของ แม่น้ำไนล์ มีวิหาร อาคารต่างๆ มากมาย เป็นการสร้างต่อเติมและปฏิสังขรณ์จากฟาโรห์หลายๆ ราชวงศ์ วิหารนี้มีเสาสูงใหญ่จำนวน 134 ต้น เรียงรายเป็น 4 แถว แต่ละต้นสูง 23 เมตร เส้นรอบวง 10 เมตร สลักด้วยอักษรภาพ นอกจากนี้ยังมีกำแพงล้อมรอบวิหารที่มีอักษรภาพเล่าเรื่องการต่อสู้และชัยชนะ อันยิ่งใหญ่ของฟาโรห์เพื่อฉลองชัยชนะ โดยวิหารนี้เป็นการเล่าเรื่องราวสมัยโบราณตั้งแต่ยุคอาณาจักรกลางถึงยุคที่ โรมันเข้าครอบครอง รวมเวลากว่า 2,000 ปี ใกล้ๆ กันเป็นที่ตั้งของวิหารลักซอร์ ซึ่งมีขนาดเล็กว่าวิหารคาร์นัค วิหารทั้งสองแห่งนี้สร้างขึ้นสำหรับพิธีบวงสรวงพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งระหว่างวิหารคาร์นัคและวิหารลักซอร์จะมีทางเดินเชื่อมต่อกัน ข้างทางประดับด้วยสฟิงซ์ที่มีส่วนหัวเป็นแพะและตัวเป็นสิงโต โดยวิหารทั้งสองแห่งนี้แสดงให้เห็นถึงความสามารถของชาวอียิปต์โบราณในการก่อ สร้างด้วยก้อนหินขนาดใหญ่ โดยไม่มีลิ่มสลักหรือสิ่งเชื่อมโยงยึดติดใดๆ และยังมีความแข็งแรงคงทนมาถึงทุกวันนี้ ซึ่งเป็นที่น่าอัศจรรย์แก่ผู้พบเห็นเป็นอันมาก

วิหารลักซอร์ เป็นวิหารที่รวม 3 วัฒนธรรมเข้าด้วยกัน เมื่อเดินเข้าด้านในวิหารส่วนแรกจะเห็นส่วนประกอบ
ลักษณะเป็นสุเหร่าของศาสนาอิสลามอยู่เหนือวิหาร เพราะวิหารนี้เคยถูกฝังอยู่ใต้ผืนทรายเป็นเวลานาน เมื่อชนชาติอิสลามเข้าครองอียิปต์จึงสร้างสุเหร่าบนบริเวณนี้ โดยไม่รู้ว่าได้สร้างทับวิหารอียิปต์โบราณ เราจึงได้เห็นวิหารอียิปต์ที่มียอดเป็นโดมของสุเหร่า และเมื่อเดินลึกเข้ามาจะเจอรูปปั้นฟาโรห์นั่งตระง่านอยู่ด้านซ้ายและขวา ที่ด้านล่างของบัลลังก์จะมีรูปแกะสลักภาพฉลองชัยชนะการสู้รบและการพาเฉลยศึก ชาวนูเบียนเข้ามา เมื่อเดินลึกเข้าไปส่วนในสุดจะเป็นส่วนของโบสถ์ที่ได้รับอิทธิพลจากชาว คริสเตียน เนื่องจากพระเจ้า
อเล็กซานเดอร์มหาราชมีชัยเหนืออียิปต์ช่วงอาณาจักรใหม่ จึงทำให้มีลักษณะของโบสถ์ชาวคริสต์อย่างเห็นได้ชัด มีภาพฝาผนังวาดด้วยเทคนิคเฟรสโก้ และทหารของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชยังซ่อมแซมวิหารนี้อย่างขอไปที ทำให้รูปแกะสลักไม่ต่อกันอย่างถูกต้องและสลับชิ้นกันไปหมด ถ้าสังเกตให้ดี จะเห็นผนังวิหารด้านที่อยู่ใกล้ส่วนที่เป็นโบสถ์คริสต์ด้านหนึ่ง มีรูปภาพแกะสลักนูนต่ำที่มีหัวฟาโรห์กลับหัวเหมือนจิกซอว์ที่ต่อผิด และเมื่อเดินผ่านช่องเล็กๆ ในโบสถ์ไปจะเป็นห้องสวดมนต์ซึ่งมีภาพแกะสลักอักษรภาพเฮียโรกลิฟิกส์แบบนูน ต่ำที่ค่อนข้างอีโรติก เนื่องจากมีเรื่องเล่ากันว่าช่วงที่อียิปต์รบพุ่งกับข้าศึก ทหารชาวอียิปต์ไม่ได้กลับบ้านเนื่องจากล้มตายไปก็มาก ทำให้เมืองนี้ประชากรลดน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด เทพเจ้าองค์นี้จึงใช้อำนาจบันดาลให้แม่บ้านชาวอียิปต์ท้องพร้อมกันทั้งหมู่ บ้าน และคลอดลูกออกมาเป็นทารกเพศชายทั้งหมด เพื่อสร้างประชากรเพศชายเพิ่มขึ้นมาช่วยกันสู้รบกับข้าศึก นี่เองจึงเป็นเรื่องราวของการสร้างประชากรของเทพเจ้าอียิปต์องค์นี้ ท่านมีส่วนสำคัญที่เป็นสัญลักษณ์ของเพศชายค่อนข้างใหญ่จนต้องตาค้างเลยที เดียว ใครอยากรู้ว่าเป็นอย่างไรต้องไปดูด้วยตัวเอง

กิจกรรมที่ขอแนะนำคือ หากใครอยากดื่มดำกับวิหารคาร์นัคยามค่ำคืน สามารถดูการแสดงโชว์แสงสีเสียงได้ตอนค่ำ ซึ่งจะมีรอบให้เลือกมากมาย แบ่งเวลาตามภาษาที่บรรยาย โดยภาษาอังกฤษจะเริ่มก่อนตอน 18.30 น. แนะนำให้ใส่รองเท้าสบายๆ เข้าชม เพราะต้องวิ่งฝุ่นตลบไปตามจุดต่างๆ ที่มีการแสดง และถ้ายิ่งเป็นคนไทยตัวเล็กก็กรุณาหาทำเลแถวหน้าๆ เข้าไว้ เพราะไม่เช่นนั้นอาจโดนนักท่องเที่ยวฝรั่งตัวโตบดบังทัศนียภาพทำให้เสีย อารมณ์ในการชมได้

Food
อาหารพื้นเมืองส่วนใหญ่เป็นไก่ เนื้อวัว ไส้กรอก ขนมปัง แบบอาหารเลบานิส หากชอบรสจัดและไม่ชอบอาหารพื้นเมือง แนะนำให้พกอาหารแห้งอย่างหมูหย็อง น้ำพริกนรก บะหมี่สำเร็จรูปไปด้วย

Shopping
ควรใช้ทักษะในการต่อให้มากๆ เพราะพ่อค้าในตลาดจะบอกราคาแพงกว่าราคาจริง 3 - 4 เท่า และอาจถูก
หลอก เวลาซื้อของควรเตรียมเงินให้พอดีกับราคาของ พ่อค้าที่นี่เจ้าเล่ห์มาก อาจไม่ทอนเงินให้ แต่ชวนซื้อของหลายๆ ชิ้นและคิดราคาให้คุณงงเล่น พอรู้ตัวก็จ่ายแพงกว่าราคาจริงไปมาก เมื่อรับของมาแล้วควรตรวจเช็คด้วยว่าได้ของครบหรือไม่



มหาวิทยาลัยในอียิปต์ ออกกฎห้ามอาจารย์หญิงปิดหน้าสอนหนังสือ

Written By Unknown on วันศุกร์ที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2553 | 16:40

สำนักข่าวอัลอาราบิญา – หลังจาก 1 ปีที่มหาวิทยาลัยห้ามนักศึกษาหญิงที่แต่งกายแบบปิดหน้าเข้าสอบ มหาวิทยาลัย 2 แห่งในอียิปต์ ได้แก่ มหาวิทยาลัยอีน ชามส์ และมหาวิทยาลัยฟายูม ซึ่งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของกรุงไคโร ได้ออกกฎห้ามอาจารย์หญิงปิดหน้าสอนหนังสือ แต่ผู้บริหารระบุว่าอาจารย์ที่แต่งกายแบบนิกอบไม่ได้ถูกให้ออกจากการทำงาน แต่จะถูกย้ายให้ไปทำหน้าที่อื่น เช่น ทำงานด้านบริหาร หรือควบคุมดูแลในระหว่างการสอบแทน ซึ่งมหาวิทยาลัยจะยังคงสนับสนุนให้อาจารย์เหล่านี้ทำการวิจัย หรืองานด้านวิชาการเหมือนเดิม


อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจดังกล่าวยังไม่ได้ผ่านการรับรองจากสภามหาวิทยาลัย และสภาสูงที่ควบคุมมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ แต่ ดร. Maged el-Deeb ประธานมหาวิทยาลัยอีนชามส์ ระบุว่า จะนำกฎนี้มาใช้ในปีการศึกษานี้

ส่วน ดร.อะฮมัด อัล-กอฮารี ประธานมหาวิทยาลัยฟายูม กล่าวว่า ถึงแม้การปิดหน้าจะเป็นเสรีภาพส่วนบุคคล แต่การปิดหน้าของอาจารย์ในห้องเรียนเป็นการละเมิดสิทธิ์ของนักศึกษา ซึ่งมีสิทธิ์จะได้เห็นหน้าอาจารย์ขณะทำการสอน และว่าในกลุ่มนักศึกษาเองก็ไม่พอใจที่ต้องเรียนกับอาจารย์ที่ปิดหน้า แต่ไม่มีใครกล้าแย้ง

ใหญ่ที่สุดในโลก พิพิธภัณฑ์ศิลปะอิสลามในอียิปต์

สำนักข่าวอัล-อาราบิญา – สำนักข่าว AFP รายงานเมื่อวันเสาร์ (14/08) ประธานาธิบดีฮุสนี มุบารักทำพิธีเปิดพิพิธภัณฑ์ศิลปะอิสลามในอียิปต์ ซึ่งเป็นแห่งที่ใหญ่ที่สุดในโลก หลังจากปิดเพื่อซ่อมแซมไป 8 ปี

อย่างไรก็ดี การเปิดให้เข้าชมทั่วไปต้องรอไปอีกประมาณ 2 สัปดาห์ หรือประมาณต้นเดือนกันยายน พิพิธภัณฑ์นี้แบ่งออกเป็น 25 ส่วน เพื่อแสดงศิลปวัตถุ 2,500 ชิ้น ซึ่งคัดเลือกที่ดีที่สุดมาจากทั้งหมดจำนวนประมาณ 100,000 ชิ้น

โบราณ วัตถุชิ้นที่เด่น ๆ เช่น กุญแจประตูเข้ากะอฺบะอฺเลี่ยมทอง และเหรียญดินารฺที่เก่าแก่ที่สุด ซึ่งมีอายุราว 697 ปี นอกจากนั้นยังมีอัล-กุรอานเก่าแก่หายาก พรมเปอร์เชีย เครื่องกระเบื้องสมัยออตโตมาน และเครื่องมือโบราณที่ใช้ทางด้านวิทยาการทางดาราศาสตร์ เคมี และสถาปัตย์

บรรยากาศรายอที่อียิปต์ Eid by Egypt


V

ยังมีอีกมากมาย ดูภาพเพิ่มเติม CLICK !

เก็บมาฝาก คลิป เช้าวันสอบ (Suasana pagi priksa al-azhar)

Written By Unknown on วันศุกร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2553 | 03:41


Ini satu clip keadaan suasana pagi priksa. k.usuluddin sebagai jadi zikrayah tahunan walaupun pindiknya tetapi berharganya.
sebab hari pertama pada ujian kita.....Berdoalah semuga lulus dlm ujian ini Amin.........

รายละเอียดคณะและหลักสูตรต่างๆ ในระดับปริญญาตรี

Written By Unknown on วันจันทร์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2553 | 05:39




สำหรับนักศึกษาชาย

1. คณะศาสนศาสตร์ (กุลลียะฮ์อุซูลุดดีน) ปริญญาตรีหลักสูตร 4 ปี เปิดสอนทั้งที่วิทยาเขตไคโรและวิทยาเขตต่างจังหวัด มี 4 สาขา
1.1 การอรรถาธิบายและความรู้เกี่ยวกับอัล-กุรอ่าน (อัตตัฟซีรว่าอุลูมกุรอ่าน)
1.2 วจนะและความรู้เกี่ยวกับวจนะศาสดา (อัล-หะดีษว่าอุลูมหะดีษ)
1.3 หลักศรัทธาและปรัชญา (อัล-อะกีดะฮ์วัลฟะลาซาฟะฮ์)
1.4 การเผยแพร่และอารยธรรม (อัดดะอ์วะฮ์วัซซะกอฟะฮ์)
โดยจะทำการสอนในรายวิชาทั่วไปในปีที่ 1-2 และจะเปิดโอกาสให้เลือกเรียนเฉพาะสาขา ในปีที่ 3-4
2. คณะนิติศาสตร์และกฎหมายสากล (กุลลียะฮ์ชารีอัตวัลกอนูน) เปิดสอนที่วิทยาเขตไคโร วิทยาเขตตอนตอ วิทยาเขตดามันฮูร วิทยาเขตตาฟะห์นาอัลอัชร๊อฟ และวิทยาเขตอัสยูต มี 2 สาขา
2.1 ชารีอะห์ อิสลามียะฮ์ (นิติศาสตร์อิสลาม) ปริญญาตรีหลักสูตร 4 ปี
2.2 ชารีอะห์ วัลกอนูน (นิติศาสตร์และกฎหมายสากล) ปริญญาตรีหลักสูตร 5 ปี
3. คณะอักษรศาสตร์ (กุลลียะห์ ลูเฆาะ อัลอารอบียะหฺ) ปริญญาตรีหลักสูตร 4 ปี เปิดสอนที่วิทยาเขตไคโรและวิทยาเขตต่างจังหวัด มี 3 สาขา
3.1 ทั่วไปเอกภาษาอาหรับ (ชุอ์บะฮ์อามมะห์)
3.2 ประวัติศาสตร์และอารยธรรม (อัตตารีค วัลฮาดอเราะห์)
3.3 วารสาศาสตร์/สื่อสารมวลชน/นิเทศศาสตร์ (อัซซอฮาฟะห์ วัลเอียะลาม)
หมายเหตุ - จะสอนเฉพาะสาขาตั้งแต่แรก
- สำหรับวิทยาเขตต่างจังหวัด จะเปิดสอนเฉพาะสาขาทั่วไป นอกจากวิทยาเขตซิบินกุม ซึ่งจะเปิดสอนทั้งสามสาขา
4. คณะอิสลามศึกษาและภาษาอาหรับ (กุลลียะห์ดิรอซ๊าตอิสลามียะห์ วัลอารอบียะห์) ปริญญาตรีหลักสูตร 4 ปี เปิดสอนเฉพาะที่วิทยาเขตไคโร
5. คณะอิสลามศึกษาและภาษาอาหรับ (กุลลียะห์ดิรอซ๊าตอิสลามียะห์ วัลอารอบียะห์) ปริญญาตรีหลักสูตร 4 ปี เปิดสอนที่วิทยาเขตดุมยาท มี 3 สาขา
5.1 ศาสนศาสตร์ (อูซูลุดดีน)
5.2 นิติศาสตร์อิสลาม (ชารีอะห์อิสลามียะห์)
5.3 อักษรศาสตร์ (ลูเฆาะห์วัลอารอบียะห์)
6. คณะเศรษฐศาสตร์ (กุลลียะห์ติญาเราะห์) ปริญญาตรีหลักสูตร 4 ปี เปิดสอนที่วิทยาเขตไคโร มี 4 สาขา
6.1 สถิติ (อัลอิห์ซอ) 6.2 การบัญชี (อัลมุฮาซาบะห์)
6.3 เศรษฐศาสตร์ (อัลอิกตีซ๊อด) 6.4 บริหาร (อิดารอตุ้ลอะมัล)
โดยจะทำการสอนในรายวิชาทั่วไปในปีที่ 1-2 และจะเปิดโอกาสให้เลือกเรียนเฉพาะสาขาในปีที่ 3 และ 4 ใน 4 สาขาข้างต้น
7. คณะอักษรศาสตร์และการแปล (กุลลียะห์ลูเฆาะวัตตัรญุมเมาะห์) ปริญญาตรีหลักสูตร 4 ปี เปิดสอนที่วิทยาเขตไคโร มี 10 สาขา โดยจะทำการสอนแยกสาขาตั้งแต่ปีแรก
7.1 ภาษาและวรรณคดีอังกฤษ 7.2 ภาษาและวรรณคดีสเปน
7.3 ภาษาและวรรณคดีตุรกี 7.4 ภาษาและวรรณคดีฝรั่งเศส
7.5 ภาษาและวรรณคดีเปอร์เซีย 7.6 ภาษาและวรรณคดีฮีบรู
7.7 ภาษาและวรรณคดีอุรดู 7.8 ภาษาและวรรณคดีเยอรมัน
7.9 อิสลามศึกษา ใช้ภาษาอังกฤษในการสอน (เรียนชั้นเตรียม 1 ปี)
7.9 อิสลามศึกษา ใช้ภาษาเยอรมันในการสอน (เรียนชั้นเตรียม 1ปี)
7.10 อิสลามศึกษา ใช้ภาษาฝรั่งเศสในการสอน (เรียนชั้นเตรียม 1ปี)
8. คณะคุรุศาสตร์ (กุลลียะห์อัตตัรบียะห์) ปริญญาตรีหลักสูตร 4 ปี เปิดสอนที่วิทยาเขตไคโร และวิทยาเขตดากอลียะห์ มี 2 หลักสูตร
8.1 หลักสูตรปริญญาตรีสายศิลป์ มี 8 สาขา คือ ศึกษาศาสตร์ ภาษาอาหรับ
ภาษาอังกฤษ ภาษาฝรั่งเศส ภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ การบริการ และห้องสมุด/
เทคโนโลยีและการศึกษา
8.2 หลักสูตรการศึกษาปริญญาตรีสายวิทยาศาสตร์ มี 4 สาขา คือ ฟิสิกส์ เคมี ธรรมชาติ
วิทยา และคณิตศาสตร์ โดยจะทำการสอนเฉพาะสาขาตั้งแต่ปีแรก
9. คณะอัล-กรุอานและความรู้เกี่ยวกับคัมภีร์อัล-กรุอาน (กุลลียะห์อัดตัฟซีร วัลอุลูมกุรอ่าน) ปริญญาตรีหลักสูตร 4 ปี เปิดสอนที่วิทยาเขตตอนตอ
10. คณะแพทย์ศาสตร์ (กุลลียะห์ฏิบ) เปิดสอนที่วิทยาเขตไคโร ปริญญาตรีทางการแพทย์และศัลยกรรม
หลักสูตร 6 ปี และฝึกงานอีก 1 ปี ในโรงพยาบาลของมหาวิทยาลัยหรือของรัฐ
11. คณะเภสัชศาสตร์ (กุลลียะห์ซอยดาลียะฮ์) ปริญญาตรีหลักสูตร 4 ปี เปิดสอนที่วิทยาเขตไคโร
12. คณะทันตแพทย์ศาสตร์ (กุลลียะห์ฏิบบิลอัซนาน) ปริญญาตรีหลักสูตร 4 ปี เปิดสอนที่วิทยาเขตไคโร และฝึกงานด้านทันตกรรมและศัลยกรรมเกี่ยวกับช่องปากและฟัน
13. คณะวิศวกรรมศาสตร์ (กุลลียะห์ฮันดาซะฮ์) ปริญญาตรีหลักสูตร 5 ปี เปิดสอนที่วิทยาเขตไคโร มี 5 สาขา คือ วิศวกรรมอุตสาหกรรม วิศวกรรมโยธา วิศวกรรมเครื่องกล วิศวกรรมไฟฟ้า และวิศวกรรมปิโตรเลียม โดยจะทำการสอนเฉพาะสาขาตั้งแต่ปีแรก
14. คณะวิทยาศาสตร์ (กุลลียะฮ์อุลูม) ปริญญาตรีหลักสูตร 4 ปี เปิดสอนที่วิทยาเขตไคโร มี 9 สาขา คือ เคมี ฟิสิกส์ ธรณีวิทยา ชีววิทยา พฤกษาศาสตร์ สัตววิทยา ศัลยกรรมศาสตร์ ดาราศาสตร์ และคณิตศาสตร์
โดยจะทำการสอนเฉพาะสาขาตั้งแต่ ปีแรก แต่จะเพิ่มเวลาเรียนอีกหนึ่งปีสำหรับสาขาชีววิทยา และศัลยกรรมศาสตร์ โดยจะศึกษาร่วมกับคณะแพทย์ศาสตร์
15. คณะเกษรตรศาสตร์ (กุลลียะฮ์ซิรอะหฮ์) ปริญญาตรีหลักสูตร 4 ปี เปิดสอนที่วิทยาเขตไคโรในสาขาต่างๆ ดังนี้
15.1 สาขาทั่วไป 15.2 ผลิตผลการเกษตร
15.3 อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม 15.4 เทคโนโยลีการเกษตร
15.5 โรคพืชพันธุ์ 15.6 ธุรกิจการเกษตร
15.7 สิ่งแวดล้อม 15.8 ปศุสัตว์
15.9 การส่งออกปลา
โดยจะทำการสอนวิชาทั่วไปในปีที่ 1-2 และจะเปิดโอกาสให้เลือกเรียนเฉพาะสาขาในปีที่ 3 เป็นต้นไป

สำหรับนักศึกษาหญิง
1. คณะอิสลามศึกษาและภาษาอาหรับ (กุลลียะห์อัดดิรอซาต อิสลามียะห์วัลอารอบียะห์) ปริญญาตรีหลักสูตร 4 ปี เปิดสอนที่วิทยาเขตไคโร วิทยาเขตอเล็กซานเดรีย วิทยาเขตมันซูเราะห์ และวิทยาเขต
ซากอซิก มี 3 สาขา
1.1 ศาสนศาสตร์ (อูซูลุดดีน) ทำการสอนหลักสูตรทั่วไปในปีที่ 1-2 และสามารถเลือกเรียน
แผนกใดแผนกหนึ่งได้ในปีที่ 3 ดังนี้
1.1.1 การอรรถาธิบายและความรู้เกี่ยวกับอัลกุรอ่าน (อัดตัฟซีร วัลอุลูมกุรอ่าน)
1.1.2 วจนะและความรู้เกี่ยวกับวจนะศาสดา (อัลฮาดิษ วัลอุลูมฮาดิษ)
1.1.3 หลักศรัทธาและปรัชญา (อัลอะกีดะห์ วัลฟาลาวะฟะห์)
1.2 นิติศาสตร์อิสลาม (ชารีอะห์)
1.3 อักษรศาสตร์ (กลูเฆาะ อัลอารอบียะห์)
2. คณะอิสลามศึกษาและภาษาอาหรับ (กุลลียะห์อัดดิรอซาต อิสลามียะห์วัลอารอบียะห์) ปริญญาตรีหลักสูตร 4 เปิดสอนที่วิทยาเขตอัซยูต มี 4 สาขา
2.1 ศาสนศาตร์ (อูซูลลุดดีน)
2.2 กฎหมายอิสลาม (ชารีอะห์)
2.3 อักษรศาสตร์ (ลูเฆาะอัลอารอบียะห์)
2.4 พาณิชยศาสตร์ (ติญาเราะห์)
3. คณะมนุษยศาสตร์ (กุลลียะห์ดีรอซ๊าตอิงซานียะห์) หลักสูตรปริญญาตรี 4 ปี เปิดสอนที่วิทยาเขตอัซยูต มี 6 สาขา
10
3.1 สาขามนุษยศาสตร์ (อินซานียะห์) มี 4 แผนก คือ สังคม จิตวิทยา ประวัติศาสตร์ และ
ภูมิศาสตร์
3.2 สาขาภาษายุโรปและทักษะรวมทางภาษาชั้นสูง (ลูเฆาะห์อุรูบียะห์
วัตตัรญุมเมาะห์เฟารียะห์) มี 2 แผนก คือ ภาษาอังกฤษและการแปล และภาษาฝรั่งเศส
และการแปล
3.3 สาขาภาษาและวรรณคดียุโรป (ลูเฆาะห์อุรูบียะห์) มี 2 แผนก คือ ภาษาเยอรมัน และ
ภาษาสเปน
3.4 สาขาภาษาและวรรณคดีตะวันออก (ลูเฆาะห์ชัรกียะห์) มี 4 แผนก คือ ภาษาและ
วรรณคดีเปอร์เซีย ภาษาและวรรคดีตุรกี ภาษาและวรรณคดีอุรดู และภาษาและวรรณคดี
ฮิบรู
3.5 สาขาคุรุศาสตร์ (ตัรบียะห์) เอกวรรณคดี
3.6 สาขาวารสารศาสตร์ (เอี๊ยะลามวัส ซอฮาฟะห์)
4. คณะเศรษฐศาสตร์ (กุลลียะห์ติญาเราะห์) ปริญญาตรีหลักสูตร 4 ปี เปิดสอนที่วิทยาเขตไคโร และวิทยาเขตดะห์กอลียะห์ มี 5 สาขา คือ สถิติ การบัญชีและการตรวจสอบบัญชี เศรษฐศาสตร์ การบริการ และการประกันภัย
5. คณะแพทย์ศาสตร์ (กุลลียะห์ฏิบ) การเรียนสอนเป็นเช่นเดียวกับของนักศึกษาชาย
6. คณะเภสัชศาสตร์ (กุลลียะห์ซ๊อยดาลียะห์) การเรียนสอนเป็นเช่นเดียวกับของนักศึกษาชาย
7. สาขาทันตกรรม คณะแพทย์ศาสตร์ (กุลลียะห์ฏิบ) เปิดสอนที่วิทยาเขตไคโร หลักสูตรปริญญาตรี 4 ปี เริ่มด้วยชั้นเตรียม 1 ปี เมื่อจบหลักสูตรแล้ว มีการฝึกงานอีก 1 ปี
8. คณะวิทยาศาสตร์ (กูลียะห์อุลูม) เปิดสอนที่วิทยาเขตไคโร หลักสูตรปริญญาตรี 4 ปี มี 4 สาขา คือ เคมี ฟิสิกส์ ชีววิทยา และคณิตศาสตร์ นักศึกษาต้องเลือกลงเรียนสาขาใดสาขาหนึ่งตั้งแต่ปีแรก

หลักเกณฑ์การรับสมัครนักศึกษาต่างชาติเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยอัลอัซฮัร

มหาวิทยาลัยอัลอัซฮัรจะรับนักศึกษาต่างชาติเข้าเรียนในแต่ละคณะและสาขาที่ ไม่ใช่สายศาสนาได้ไม่เกิน 10% ของจำนวนของนักศึกษาอียิปต์ โดยจะพิจารณาตามคุณสมบัติและเงื่อนไขดังต่อไปนี้
1. เป็นผู้ที่ได้รับทุนการศึกษาจากสาธารณรัฐอาหรับอียิปต์
2. เป็นผู้ที่ได้รับประกาศนียบัตรชั้นมัธยมปลาย (ซานาวี) จากสถาบันของอัลอัซฮัร หรือประกาศนียบัตรชั้นมัธยมปลายจากวิทยาลัยบุอูส สาธารณรัฐอาหรับอียิปต์
3. เป็นผู้ที่ได้รับประกาศนียบัตรเทียบเท่าระดับมัธยมปลายจากสถาบันที่สอนศาสนา อิสลามในประเทศต่างๆ ที่ได้รับการรับรองวุฒิการศึกษาจากมหาวิทยาลัยอัลอัซฮัร
หมายเหตุ

1. ไม่อนุญาตให้นักศึกษาต่างชาติเข้าเรียนคณะแพทย์ศาสตร์ แผนกทันตกรรม เภสัชศาสตร์ และวิศวกรรมศาสตร์ นอกจากจะได้รับการอนุมัติจากอธิการบดีมหาวิทยาลัย
2. นักศึกษาต่างชาติที่ไม่ได้รับทุนการศึกษาจากสาธารณรัฐอาหรับอียิปต์ ที่ได้รับอนุมัติให้เข้าเรียนในคณะและสาขาที่ไม่ใช่สายศาสนาจะต้องจ่ายค่า หน่วยกิตวิชาและค่าประกันตามที่กำหนด

เงื่อนไขอื่นๆ

1. นักศึกษาจากสายวิทยาศาสตร์ที่จะทำการเข้ารับการศึกษาในคณะเผยแพร่อิสลามและ สาขาต่างๆของคณะศาสนศาสตร์ จะต้องมีจำนวนไม่เกิน 15% ของจำนวนของนักศึกษาจากสายศิลป์ที่ได้รับการเสนอชื่อ โดยต้องมีคะแนนรวมไม่ต่ำกว่า 70% และต้องผ่านการสอบวิชาท่องจำอัลกุรอ่าน
อารยธรรม อิสลาม และบรรยายศาสตร์ (คิฎอบะห์) สำหรับผู้ที่สอบไม่ผ่าน ก็จะได้รับการเสนอชื่อให้เข้าเรียนในคณะอื่นต่อไปตามความเหมาะสมและความ สามารถ
2. ผู้ที่ประสงค์จะสมัครเข้าเรียนในคณะคุรุศาสตร์และสาขาคุรุศาสตร์ของคณะ มนุษยศาสตร์ (สำหรับนักศึกษาหญิง) จะต้องผ่านการสอบเข้า ผู้ที่สอบไม่ผ่านจะได้รับการเสนอชื่อให้เข้าเรียนในคณะอื่นต่อไปตามความ เหมาะสมและความสามารถ
3. ผู้ที่ประสงค์จะสมัครเข้าเรียนสาขาสื่อสารมวลชน (นิเทศศาสตร์) ของคณะอักษรศาสตร์และคณะอิสลามศึกษา (สำหรับนักศึกษาหญิง) วิทยาเขตไคโร จะต้องได้รับคะแนนในวิชาภาษาต่าง ประเทศไม่ต่ำกว่า 60% (ทั้งสายวิทยาศาสตร์และสายศิลป์)
4. ผู้ประสงค์จะสมัครเข้าเรียนในสาขาทักษะรวมภาษาชั้นสูง (ภาษาอังกฤษ) สาขาอิสลามศึกษา (ที่ใช้ภาษาอังกฤษ ฝรั่งเศสและภาษาเยอรมันในการสอน) ของคณะอักษรศาสตร์และการแปล จะต้องได้รับประกาศนียบัตรมัธยมปลายของมหาวิทยาลัยอัลอัซฮัร หรือเทียบเท่า และมีคะแนนไม่ต่ำกว่า
12
70% จากคะแนนรวม รวมทั้งจะต้องได้คะแนนภาษาอังกฤษ/ฝรั่งเศส/เยอรมันไม่ต่ำกว่า 70% ของคะแนนรวม
5. ผู้ที่ประสงค์จะสมัครเข้าเรียนในคณะแพทย์ศาสตร์ ทันตกรรมและเภสัชศาสตร์จะต้องได้รับประกาศนียบัตรมัธยมปลายของมหาวิทยาลัย อัลอัซฮัร หรือเทียบเท่า และมีคะแนนไม่ต่ำกว่า 75%
ในวิชาเคมี ฟิสิกส์ ชีววิทยาและภาษาอังกฤษ
6. ผู้ประสงค์จะสมัครเรียนคณะวิศวกรรมศาสตร์จะต้องได้รับประกาศนียบัตรมัธยม ปลายของมหาวิทยาลัยอัลอัซฮัร หรือเทียบเท่า และมีคะแนนไม่ต่ำกว่า 75% จากคะแนนรวม และวิชาคณิตศาสตร์
7. ผู้ประสงค์จะสมัครเข้าเรียนสาขาวิศวกรรมโยธา การวางผังเมือง จะต้องผ่านการสอบเข้า หากสอบไม่ผ่าน ก็จะได้รับการเสนอชื่อให้เข้าเรียนในสาขาทั่วไป
8. ผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อให้เข้าเรียนในสาขาดังต่อไปนี้ จะต้องผ่านการเรียนชั้นเตรียมเป็นเวลา 1 ปี และต้องสอบผ่านก่อนจึงจะได้รับการเสนอชื่อให้เข้าเรียนในสาขานั้นๆ ผู้ไม่ผ่านการสอบ สามารถสอบแก้ตัวได้ 1 ครั้ง และหากยังสอบไม่ผ่านอีก ก็จะได้รับการพิจารณาให้เรียนในคณะอื่นที่เหมาะสมกับความรู้ความสามารถ
- สาขาอิสลามศึกษา (ภาษาอังกฤษ) ของคณะอักษรศาสตร์และการแปล (ชาย)
- สาขาอิสลามศึกษา (ภาษาฝรั่งเศส) ของคณะอักษรศาสตร์และการแปล (ชาย)
- สาขาอิสลามศึกษา(ภาษาเยอรมัน) ของคณะอักษรศาสตร์และการแปล (ชาย)
- สาขาทักษะรวมภาษาชั้นสูง (ภาษาอังกฤษ) ของคณะอักษรศาสตร์และการ
แปล (ชาย)
- สาขาภาษาและวรรณคดียุโรป และสาขาการแปลภาษาชั้นสูงของคณะมนุษย์
ศาสตร์ (หญิง)
หมายเหตุ
- ประกาศนียบัตรมัธยมปลาย หรือเทียบเท่า จะต้องมีอายุไม่เกิน 2 ปี นับจากวันที่ออกใบประกาศ
- นักศึกษาต้องไม่เคยสมัครและได้รับการเสนอชื่อมาก่อนในสาขาและคณะที่ต้องการสมัครเข้าเรียน


การสมัครเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยอัลอัซฮัร



สถาน ที่รับสมัครอยู่ที่ตึกศูนย์อำนวยการใหญ่เกี่ยวกับการรับเอกสาร การเทียบวุฒิ และการสมัครเรียน ตั้งอยู่ ณ ฮัย ซาเบี๊ยะ เขตนัสร์ซิตี้ มี 2 หน่วยงาน คือ
1. สำนักงานขายซองสมัครเรียน หรือที่นิยมเรียกกันว่า “ตังซีก” จะจำหน่ายซองเอกสาร (หลักฐานการรับสมัคร ใบคำร้องขอสมัครเข้าเรียน รายละเอียดคณะและเอกสารที่เกี่ยวข้องต่างๆ) ในราคา 200 ปอนด์อียิปต์ (ประมาณ 1,200 บาท) เปิดทำการในวันอาทิตย์-วันพฤหัสบดี เวลา 09.00-12.00 น. ทั้งนี้ นักศึกษาจะต้องนำใบผลการสอบไปแสดงด้วยในการขอซื้อเอกสาร
13
2. สภาวิจัยอิสลามศึกษา (Islamic Research Academy) จะทำหน้าที่ตรวจสอบเอกสาร และเทียบวุฒิการศึกษา เปิดทำการในวันอาทิตย์-วันพฤหัสบดี เวลา 15.00-18.00 น.

เอกสารการสมัครเรียน


1. แบบฟอร์มคำร้องสมัครเข้าเรียนของมหาวิทยาลัยอัลอัซฮัร พร้อมทั้งอากรแสตมป์ตามที่กำหนด
2. ใบประกาศนียบัตรชั้นมัธยมปลายจากสถาบันของมหาวิทยาลัยอัลอัซฮัร หรือประกาศนียบัตรชั้นมัธยมปลายจากวิทยาลัยบุอูส หรือจากสถาบันที่สอนศาสนาอิสลามในประเทศต่างๆ ที่ได้รับการรับรองวุฒิการศึกษาจากมหาวิทยาลัยอัลอัซฮัร พร้อมใบคะแนนแสดงผลการสอบ
3. ใบรับรองการเกิดจากทางราชการ (ขอได้จากสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงไคโร)
4. รูปถ่ายสี จำนวน 6 รูป ขนาด 4x6 ซ.ม.
5. หนังสือเดินทาง พร้อมสำเนา
6. ใบนำสมัครเรียนซึ่งออกให้โดยสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงไคโร

คำแนะนำต่างๆสำหรับนักศึกษา


1. นักศึกษาจะต้องอ่านคู่มือพร้อมทั้งคำแนะนำที่แนบมากับเอกสารอย่างละเอียด โดยเฉพาะอย่างยิ่งแบบฟอร์มการเลือกคณะ
2. ภายในซองจะมีเอกสารระบุชื่อของคณะและแผนกต่างๆ ทั้งในไคโรและวิทยาเขตต่างจังหวัดเอาไว้ ขอให้ศึกษาข้อมูลของคณะต่างๆ ให้ละเอียดก่อนการตัดสินใจว่าจะเรียนคณะไหน จากนั้น จึงกรอกข้อมูลต่างๆ ในแบบฟอร์มให้ครบถ้วน เซ็นชื่อกำกับ พร้อมทั้งติดแผ่นเลือกคณะลงในกรอบตามลำดับให้ครบทุกแผ่น และจะต้องไม่แก้ไขหรือลบหมายเลขต่างๆ ที่ได้เลือกลำดับเอาไว้ เพราะสำนักงานจะจ่ายเอกสารให้กับนักศึกษาเพียงครั้งเดียว และจะไม่รับสมัครหากมีการลบหรือแก้ไขเอกสาร
3. มหาวิทยาลัยจะจัดให้นักศึกษาเข้าเรียนในคณะที่ได้เลือกไว้ โดยจะพิจารณาจากรายชื่อคณะและลำดับที่ระบุไว้ ประกอบกับความสามารถและความเหมาะสมของผู้สมัคร
4. นักศึกษาจะต้องเขียนความประสงค์ที่จะเข้าเรียนในคณะที่ตนต้องการสมัคร ให้สอดคล้องกับสิ่งที่ได้เขียนไว้ในแบบฟอร์มเลือกคณะ และแผ่นเลือกที่นักศึกษาได้เลือกเอาไว้ สำหรับผู้ที่ต้องการจะย้ายคณะจะต้องระบุว่าเคยศึกษาในคณะใดมาก่อน พร้อมทั้งแจ้งวันออกประกาศนียบัตรลงในช่องที่กำหนดไว้ในแบบฟอร์ม
5. เก็บซองเอกสาร ใบเสร็จพร้อมหมายเลขที่สำนักงานออกให้ เพื่อความสะดวกในการติดต่อครั้งต่อๆ ไป
-------------------------------------------------------

ความโดดเด่นของมหาลัยอัล-อัซฮัร


จุดเด่นของอัล-อัซฮัร

ความ เก่าแก่ซึ่งมีอายุถึงหนึ่งพันกว่าปี ของมหาวิทยาลัยอัล-อัซฮัร ทำให้เป็นจุดศูนย์กลางทางการศึกษาของคนมุสลิมทั่วทุกมุมโลก ดังนั้นมหาวิทยาลัยอัล-อัซฮัรจึงได้วางนโยบายและแบบแผนการศึกษาดังต่อไปนี้

1.เปิดรับสมัครนักศึกษามุสลิมที่ต้องการศึกษาในแต่ละสาขาวิชาการ และผู้ใฝ่ศึกษาในอิสลามอย่างจริงจัง

2.ปลูกฝังแนวความคิดอันถูกต้องในหมู่นักศึกษามุสลิม ยึดมั่นต่ออิสลามและเชิญชวนมนุษยชาติสู่สัจจะธรรม

3.พัฒนาปรับปรุงหลักสูตร และโปรแกรมการเรียนการสอน เพื่อเป็ฯการยกระดับด้านจิตสำนึกแห่งอิสลามและความเป็นชาตินิยมแก่นักศึกษาทุกคน

4.ผลิตนักวิชาการอิสลามและผู้ทรงคุณวุฒิสาขาวิชาต่างๆแก่ประเทศโลกอาหรับอิสลาม ภายใต้หลักความรู้และการศรัทธาที่ถูกต้อง

5.ส่ง เสริมให้มีการศึกษาระดับสูง ในสาขาต่างๆ และส่งนักศึกษาไปต่างประเทศเพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์ใหม่ๆนำมาเป็ฯประโยชน์ แก่ประเทศและโลกมุสลิม

6.สอดส่องดูแลกิจกรรมทางด้านวิชาการ และมีส่วนร่วมในการพัฒนาทางด้านวิชาการด้วยการกระชับความสัมพันธ์ระหว่าง มหาวิทยาลัยทั่วโลกและหย่วยงานวิจัยเพื่อการศึกษาแลกเปลี่ยนความรู้และทักษะ


ด้านภาษาต่างประเทศและการแปล

ใน คณะอักษรศาสตร์และการแปลของมหาวิทยาลัยอัล-อัซฮัร จะประกอบไปด้วย 9 สาขาด้วยกัน คือสาขาภาษาอังกฤษ ฝรั่งเศษ เยอรมัน สเปน ตุรกี ฮิบรู เปอร์เซีย แอฟริกา และกลุ่มภาษายุโรป

ส่วนกลุ่มภาษายุโรปแบ่งออกเป็น 3 สาขา

1.วรรณคดี และอารยธรรม

2.การแปลภาษา

3.อิสลามศึกษา(ศึกษาศาสตร์)

ระยะ เวลาการเรียน 4 ปี นอกจากสาขาอิสลามศึกษาซึ่งต้องเรียนเตรียมพิเศษใช้เวลาหนึ่งปี นักศึกษาต้องเรียนคัมภีร์อัลกุรอาน อรรถาธิบายอัลกุรอาน พระวจนะศาสดา(ศ้อลฯ) และความรู้เกี่ยวกับอิสลามทั่วไปด้วยภาษาต่างประเทศ เป้าหมายเพื่อให้นักศึกษามีความถนัดเรื่องการใช้ภาษา เพื่อใช้ในการแนะแนวและเผยแพร่ในต่างประเทศ


การศึกษาของสตรีในมหาวิทยาลัยอัล-อัซฮัร


มหา วิทยาลัยอัล-อัซฮัร เปิดทำการสอนแก่สตรีมุสลีมะห์ในปีคริสตศักราช1961ด้วยการสร้างวิทยาลัยสตรี ซึ่งมีอยู่หลายสาขาด้วยกัน เพื่อศ฿กษาทางด้านการแพทย์ วิทยาศาสตร์ มนุษย์ศาสตร์ อิสลามศึกษาและภาษาอาหรับ หลังจากนั้นได้ปรับสาขาเหล่านี้ไปเป็นคณะต่างหาก อาทิเช่น การผนวกคณะเภสัชกรรมและเศรษฐศาสตร์ไว้ในคณะอิสลามศึกษาและภาษาอาหรับ และการผนวกคณะอิสลามศึกษาของวิทยาเขตจังหวัดอัซยูตและสาขาภาษายุโรปและการ แปลไว้ในคณะมนุษย์ศาสตร์ เช่นกันได้ก่อตั้งคณะทันตกรรมศาสตร์ที่ไคโรปี 1998/1999 และคณะมนุษย์ศาสตร์ ที่จังหวัดตาฟาฮ์นา และกีนาในปี 1999/2000


มาตรฐานการรับรองทางวิชาการ


มหา วิทยาลัยอัล-อัซฮัร ได้ประสาทปริญญาแก่ผู้สำเร็จการศึกษาระดับประกาศณียบัตรชั้นสูง และระดับปริญญาตรีในทุกๆสาขาวิชา ซึ่งรวมถีงโปรแกรมการศึกษาในแต่ละสาขาวิชาของคณะต่างๆดังต่อไปนี้

1.อนุปริญญาโท มีทั้งภาคทฤษฏีและภาคปฏิบัติ ใช้เวลาในการเรียนสองปีหรือสี่เทอมของการศึกษา

2.ระดับปริญญาโท

3.ระดับปริญญาเอก


ระเบียบการสมัคร


1.ผู้ได้รับใบประกาศนียบัตรมัธยมศึกษาตอนปลาย ของอัซฮัร โดย ยื่นใบสมัครผ่านพนักงานรับสมัครของมหาวิทยาลัยอัล-อัซฮัร

2.ผู้ที่ได้รับประกาศนียบัตรทางด้านการอ่านคัมภีร์อัลกุรอาน โดยยื่นใบสมัครที่วิทยาลัยอัลกุรอาน ณ จังหวัดตอนตอ

3.ผู้ ที่ได้รับประกาศนียบัตรอนุปริญญาวิชาชีพครู อัล-อัซฮัร ทั้งชายและหญิงสมัครเรียนต่อที่คณะคุรุศาสตร์ได้แต่ต้องได้คะแนนร้อยละเจ็ด สิบคะแนนขึ้นไปจากคะแนนทั้งหมด

4.นักศึกษาสตรีที่ได้รับใบประกาศนีย บัตรมัธยมตอนปลายภาครัฐหรือเทียบเท่าสามารถสมัครเรียนได้ในสาขาภาษายุโรปและ การแปลภาษาที่คณะมนุษยศาสตร์ในไคโรเท่านั้น


นักศึกษาที่พิการทางด้านสายตาทั้งหญิงและชาย

มหา วิทยาลัยอัล-อัซฮัรเปิดรับสมัครเฉพาะคณะอักษรศาตร์ คณะศาสนศาสตร์ คณะนิติศาสตร์และกฏหมายสากในไคโร และวิทยาเขตต่างจังหวัด อาทิเช่น ดุมยาต กีนา อัซวาน ส่วนคณะคุรุศาสตร์ในไคโร เปิดรับสมัครสองสาขาด้วยกัน คือสาขาศึกษาศาสตร์ และสาขาอักษรศาสตร์เอกภาษาอาหรับ


นักศึกษาต่างชาติ


มหา วิทยาลัยอัล-อัซฮัรเปิดรับสมัครนักเรียนต่างชาติที่ได้รับประกาศนียบัตร มัธยมตอนปลายในเครืออัล-อัซฮัร หรือประกาศนียบัตรของสถาบันวิจัยอิสลามประเทศอียิปต์ และผู้ที่ได้ประกาศนียบัตรมัธยมศึกษาตอนปลายของภาครัฐหรือว่าเทียบเท่า


การวิจัยด้านวิชาการ


ทางมหาวิทยาลัย ให้ความสำคัญด้านวิจัยทางวิชาการเป็นอย่างมาก โดยจัดให้มีการค้นคว้าวิจัยและปฏิบัติการ ซึ่งมีศูนย์ปฏิบัติการ อยู่หลายคณะด้วยกัน โดยเน้นการค้นคว้าในเชิงปฏิบัติเพื่อเชื่อมประสานระหว่างมหาวิทยาลัยกับ ชุมชน ทางอัซฮัรมีศูนย์วิชาการสาขาต่างๆ และศูนย์วิจัย ซึ่งสร้างขึ้นมาเพื่อศึกษาและค้นคว้าเฉพาะด้านในทุกแขนง เช่น ด้านการแพทย์ มนุษยศาสตร์ เกษตรกรรม อาทิเช่น ศูนย์วิจัยโรคหัวใจ ศูนย์ศึกษาภาษาสำหรับผู้ไม่เข้าใจในภาษาอาหรับ ศูนย์ศึกษาและวิจัยด้านสถิติและอื่นๆ ฯลฯ


ด้านสาธารณสุข

มหา วิทยาลัยอัล-อัซฮัรเปิดบริการด้านสาธารณสุขแก่นักศึกษา๕ณะครู และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องในมหาวิทยาลัยด้วยโรงพยาบาลของมหาวิทยาลัยเอง เช่น โรงพยาบาลฮุเซ็น โรงพยาบาลซะรออ์ โรงพยาบาลลาบุลซะรียะห์ และขณะนี้ทางมหาวิทยาลัยกำลังก่อสร้างโรงพยาบาลอัล-อัซฮัร ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ของอัซฮัรที่เมืองนัศร์ กรุงไคโร


หอสมุดมหาวิทยาลัยอัล-อัซฮัร


มหา วิทยาลัยอัล-อัซฮัรเล็งเห็นความสำคัญของการศึกษา การค้นคว้า และการให้บริการสังคมโดยการสร้างหอสมุด เพื่อบริการนักศึกษาระดับมหาวิทยาลัย ผู้ศึกษาปริญญาโท คณาจารย์และเจ้าหน้าที่ของมหาวิทยาลัย
หอสมุดศูนย์กลาง มหาวิทยาลัยอัล-อัซฮัรประกอบไปด้วยหลายสาขา มีหนังสืออยู่ประมาณ 51016 เล่มทั้งภาษาอาหรับและภาษาต่างประเทศ และยังมีห้องสมุดที่รวบรวมวิทยานิพนธ์อยู่ 10110 เล่มในระดับปริญญาโทและปริญญาเอก ภาษาอาหรับและภาษาต่างประเทศ มหาวิทยาลัยอัล-อัซฮัรยังมีห้องสมุดประจำคณะอีก 50 แห่ง มีห้องสมุดประจำหอประชุมอิสลามมีห้องโกดังเก็บหนังสือเพื่อการแลกเปลี่ยน สิ่งพิมพ์เพ่อการแจกจ่ายของหอประชุมอิสลามมีหนังสือสำรองอยู่ประมาณ 31466 เล่ม


หอพักนักศึกษา

อัล-อัซ ฮัรมีเจตนารมย์ตั้งแต่แรกเริ่มในการดูแลอุปถัมภ์นักศึกษาต่างชาติ และถ่ายทอดความรู้ไปสู่ทั่วทุกมุมโลก โดยจัดเตรียมที่พักอาศัยและปัจจัยยังชีพ ถือได้ว่าอัล-อัซฮัรเป็นสถาบันแห่งแรกในโลกที่ริเริ่มการสร้างหอพักนักศึกษา สหรับรองรับนักศึกษาชาวอียิปต์เองและ นักศึกษามุสลิมจากทั่วโลก ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ.1972/1973 มหาวิทยาลัยอัล-อัซฮัรได้เปิดหอนักศึกษาสำหรับชาวอียิปต์ที่เมืองนัศร ไคโร จนถึงปัจจุบันทางมหาวิทยาลัยมีหอพักศึกษาชายและหญิงทั้งในไคโรและวิทยาเขต ต่างจังหวัด นอกจากนั้นยังมีหอพักสตรีที่เตรียมไว้นอกอาณาเขต ซึ่งในหอพักนักศึกษาทางมหาวิทยาลัยได้เตรียมอำนวยความสะดวกต่างๆเช่นโรง อาหาร สนามกีฬาและโรงยิม ฯลฯ


กิจกรรมนักศึกษาทางด้านวิชาการ ศิลปะ และกีฬา

มหา วิทยาลัยอัล-อัซฮัรได้ให้ความสำคัญต่อการบริการสังคม ด้วยการเน้นแบบแผนกิจกรรมต่างๆดางด้านวิชาการ ศิลปะ และการกีฬา โดยจัดให้มีบุคลากรแต่ละด้านเป็นการพิเศษเช่น การแข่งขันทางวิชาการ ศิลปะ และวัฒนธรรม ทางมหาวิยาลัยได้เปิดศูนย์ศิลปะ 2 อาคารด้วยกัน อาคารแรกชื่ออาคารมูฮัมมัด อับดฮ์ ที่เขตดัรรอซะห์ และอาคารที่สองคณะเกษตรศาสตร์ที่เมืองนัศร์ ไคโร นักศึกษาได้มีโอกาสแสดงศิลปะกิจกรรมต่างๆ อย่างเช่น การแสดงดนตรีพื้นเมือง และงานเขียนต่างๆ


บุคคลสำคัญที่ผ่านการเจียระไนจากอัล-อัซฮัร


บุคคล สำคัญในประวัติศาสตร์ที่ผ่านการศึกษาจากมหาวิทยาลัยอัล-อัซฮัร ล้วนเป็นผู้นำทางด้านการเมืองและทางด้านนักคิดนักพัฒนาในประเทศอียิปต์ เช่น ชัยค์ อับดุลลอฮ์ อัซซัรกอวีย์ และมุฮัมมัด อัซ-ซาดาต ผุ้นำขับไล่การยึดครองฝรั่งเศษต่อประเทศอียิปต์ อะหมัดอารอบีย์ อิหม่ามมุฮัมมัด อับดุฮ์ สะอัด ซัคลูล และอีกหลายๆท่าน ที่มีบทบาทสำคัญในประเทศอียิปต์ทั้งในอดีตและปัจจุบัน

จากหนังสือ.."ไคโรสาร 48"

ตั้งประมุขอัล อัซฺฮัรฺคนใหม่แล้ว

Written By Unknown on วันเสาร์ที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2553 | 11:48


นายฮุสนี มุบาร็อก ประธานาธิบดีอียิปต์ ได้ลงนามแต่งตั้ง เชค อะหฺมัด มุฮัมมัด อะหฺมัด อัฏฏอยยิบ เป็นประธานสถาบันอัล อัซฺฮัรฺคนใหม่เมื่อวันศุกร์ที่ 19 มีนาคม ศกนี้ หลังจากประธานคนเก่า คือเชคมุฮัมมัด ซัยยิด ฏอนฏอวี กลับสู่พระเมตตาของพระผู้เป็นเจ้าได้ 9 วัน และประธานาธิบดีอียิปต์เองก็เพิ่งเดินทางกลับจากไปรับการผ่าตัดถุงน้ำดีใน เยอรมนี

สถาบันอัล อัซฺฮัรฺได้รับทุนดำเนินงานส่วนใหญ่จากรัฐบาลอียิปต์ และประธานาธิบดีมีอำนาจแต่งตั้งประธานสถาบันนี้มาตั้งแต่ปี 2504 ทำให้บางครั้งมี เสียงวิจารณ์ว่าสถาบันใกล้ชิดกับรัฐบาลมากเกินไป

เชค อะหฺมัด มุฮัมมัด อะหฺมัด อัฏฏอยยิบ เกิดเมื่อปี 2489 ปัจจุบันอายุ 64 ปี เข้าเรียนเบื้องต้นในโรงเรียนในเครือของมหาวิทยาลัยอัล อัซฺฮัรฺที่เมืองลักซอร์ บ้านเกิดในภาคใต้ ตั้งแต่อายุ 10 ปี แล้วไปศึกษาต่อในฝรั่งเศส และกลับไปศึกษาจนสำเร็จปริญญาเอกด้านวิชาการอิสลามและปรัชญาจากมหาวิทยาลัย อัล อัซฺฮัรฺ เชี่ยวชาญด้านปรัชญาศาสนาและหลักศรัทธา เคยเขียนหนังสือจำนวนมากเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์, ลัทธิมาร์กซ์, ปรัชญาในอิสลาม และวัฒนธรรมอิสลาม มีแนวความคิดสายกลาง สนับสนุนการสานเสวนากับชาติตะวันตก กล้าวิจารณ์กลุ่มมุสลิมที่มีความคิดรุนแรงอย่างเปิดเผย เคยให้ความเห็นว่าความเป็นมุสลิมที่แท้จริงไม่ได้ขึ้นอยู่แต่เพียงกับภาพภาย นอก เช่น การแต่งกาย สวมเสื้อคลุมยาว หรือไว้หนวดเครา แต่ต้องมีการพัฒนาความคิดจิตใจและพฤติกรรมให้เป็นไปตามหลักการอิสลามอย่าง แท้จริงด้วย

เมื่อปี 2549 ท่านตำหนินักศึกษามหาวิทยาลัยอัล อัซฺฮัรฺกลุ่มหนึ่ง ซึ่งเป็นสมาชิกขบวนการ ”ภราดรมุสลิม (อิควานุลมุสลิมีน) ที่จัดการเดินขบวนโดยสวมผ้าคลุมหน้าสีดำว่า ทำตัวเหมือนสมาชิกพรรคหะมาสในปาเลสไตน์ ฮิซฺบุลลอฮฺในเลบานอน และหน่วยพิทักษ์สาธารณรัฐในอิหร่าน

ท่านไม่ เห็นด้วยกับแนวทางของขบวนการ ”ภราดรมุสลิม” ซึ่งเป็นกลุ่มต่อต้านรัฐบาลอียิปต์ใหญ่ที่สุดและถูกรัฐบาลถือว่าเป็นองค์กร ผิดกฎหมาย แม้จะได้รับการสนับสนุนจากประชาชนจำนวนไม่น้อย

ชัย คุลอัซฺฮัรฺคนใหม่ผูกพันกับมหาวิทยาลัยนี้มากว่า 40 ปี หลังจากสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอกเมื่อปี 2520 ได้เข้าเป็นอาจารย์ประจำ ต่อมาได้รับแต่งตั้งเป็นคณบดีคณะวิชาปรัชญา

ด้วยความชำนาญอย่างสูงด้านกฎหมาย ท่านได้รับแต่งตั้งเป็นประธานคณะตุลาการศาลฎีกาอิสลามหรือ ”แกรนด์ มุฟตี” เมื่อปี 2545 แต่ในปีต่อมาได้รับแต่งตั้งเป็นอธิการบดีมหาวิทยาลัยอัล อัซฺฮัรฺ และอยู่ในตำแหน่งนั้นมาจนถึงบัดนี้

สถาบันอัล อัซฺฮัรฺ เป็นองค์กรศึกษาสูงสุดด้านอิสลามสายซุนนี รับผิดชอบมหาวิทยาลัย เก่าแก่ที่สุดในอียิปต์ พร้อมกับโรงเรียนจำนวนหนึ่ง ในเครือ และมัสยิดเก่าแก่หลังหนึ่งที่สร้างในคริสตศตวรรษที่ 10 มีหน้าที่เผยแผ่ หลักธรรมคำสอนและวัฒนธรรมอิสลามทั่วโลก

ผู้ทำหน้าที่ ประธานสถาบันนี้ได้รับความเคารพเชื่อถือจากมุสลิมทั่วโลก ในฐานะผู้ให้คำแนะนำ อบรมและออกฟัตวา คือคำชี้ขาดปัญหากฎหมายอิสลามในอียิปต์และประเทศมุสลิมอื่นๆ เป็นผู้รับผิดชอบสูงสุดของมัสยิด, มหาวิทยาลัย, โรงเรียน และทุกหน่วยงานของสถาบัน กับให้คำปรึกษาด้านศาสนาแก่รัฐบาลด้วย......

ฝังเชคฏอนฏอวีที่มะดีนะฮฺ syikh Tontowi


มีการละหมาดฌะ นาซฺะฮฺเพื่อขอพรจากพระผู้เป็นเจ้าแก่เชคมุฮัมมัด ซัยยิด ฏอนฏอวี นายกสภามหาวิทยาลัยอัลอัซฺฮัรฺแห่งอียิปต์ ที่มัสยิดอันนะบะวี นครมะดีนะฮฺ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 11 มีนาคมที่ผ่านมา แล้วนำไปฝังที่สุสานฌันนะตุลบาเกียะอฺ ซึ่งอยู่ติด กับมัสยิดนี้ โดยมีครอบครัว มิตร สหาย ผู้ร่วมงาน และผู้ใกล้ ชิดของท่านเชคร่วมพิธีจำนวนมาก



ชัยคุลอัซฺฮัรฺวัยย่าง82 ปี เดินทางถึงริยาด เมืองหลวงของซาอุดีอาระเบีย เมื่อวันอังคารที่ 10 มีนาคมเพื่อร่วมงานมอบรางวัลนานาชาติ”คิงฟัยซอล”ในเมืองนั้น และกำลังจะเดินทางกลับอียิปต์ในเช้าตรู่วันรุ่งขึ้น แต่ได้เกิดอาการหัวใจวายเฉียบพลันขณะเดินขึ้นบันไดเครื่องบินที่สนามบิน ริยาด ร่างของท่านทรุดและล้มลงบนบันได แล้วได้รับการหามไปขึ้นรถยนต์นำส่งโรงพยาบาลอะมีรฺซุลฏอนในริยาดอย่างรีบ ด่วน แต่เมื่อไปถึง แพทย์ที่ตรวจอาการได้ประกาศว่าท่านสิ้นลมเสียแล้ว



เบื้องต้นมีรายงานข่าวจากสถานีโทรทัศน์ไนล์นิวส์ของอียิปต์ว่า มีการนำร่างไร้วิญญาณของท่านขึ้นเครื่องบินในช่วงค่ำวันเดียวกัน เพื่อไปละหมาดและฝังในอียิปต์ แต่เช้าวันพฤหัสบดีจึงมีการรายงานข่าวว่าเป็นเที่ยวบินไปนครมะดีนะฮฺ ในซาอุดีอาระเบียเอง



เชคฏอนฏอวีเกิดในหมู่บ้านสะลีม อัชชัรฺกียะฮฺ ในเขตปกครองซูฮักตอนเหนือของอียิปต์ เมื่อวันที่ 28ตุลาคม 2471 ศึกษาวิชาอัลกุรอานในเมืองอะเล็กซานเดรีย สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอกสาขาอัลหะดีษ (บันทึกจริยวัตรและโอวาทของท่านนบีมุฮัมมัด ซ็อลฯ) และตัฟซีรฺ (การอรรถาธิบายอัลกุรอาน) เมื่อปี 2509



ท่านได้รับแต่งตั้งเป็นแกรนด์มุฟตี (ประธานคณะตุลาการศาลฎีกาอิสลาม)แห่งอียิปต์เมื่อปี 2529 โดยอยู่ในตำแหน่งนี้ เกือบ 10 ปีเต็มจนได้รับตำแหน่งนายกสภามหาวิทยาลัยอัล อัซฺฮัรฺในปี 2539 ก่อนหน้านั้น ท่านเคยเป็นหัวหน้าสาขาวิชาตัฟซีรฺประจำ มหาวิทยาลัยมะดีนะฮฺเมื่อปี 2523 ทำให้สนิทสนมกับนักวิชาการและราชวงศ์ซาอุดีอาระ เบียจำนวนมาก การปฏิบัติงานตลอดชีวิต รวมทั้งผลงานการการเขียนตำรา, หนังสือวิชาการ และอรรถาธิบายอัลกุรอานของท่าน ตลอดจนการแสดงความเห็นอย่างเด็ดขาดตรงไปตรงมา บนพื้นฐานบัญญัติอิสลามจากพระคัมภีร์อัล กุรอานและโอวาทของท่านนบีมุฮัมมัด ซ็อลฯ ทำให้ท่านได้รับความ เคารพเชื่อถือจากมุสลิมทั่วโลก โดยเฉพาะในสายซุนนี



ท่านยังเคยเป็นประธานสภาการอิสลามเพื่อการอบรมเผย แผ่และการบรรเทาทุกข์นานาชาติ ซึ่งได้อุทิศตนเพื่อสร้างความร่วมมือกันอย่างสมานฉันท์ระหว่างผู้นับถือ ศาสนาและมีแนวปฏิบัติแตกต่างกันอีกด้วย



สมเด็จพระราชาธิบดีอับดุลลอฮฺ อิบนิอับดุลอะซีซฺ และมกุฎราชกุมาร เจ้าฟ้าชายซุลฏอน แห่งซาอุดี-อาระเบียได้ทรงมีพระราชสาส์นถึงประธานาธิบดีฮุสนี มุบาร็อกแห่งอียิปต์ แสดงความโทมนัสอย่างลึกซึ้งในการจากไปของนักวิชาการผู้ทรงคุณวุฒิอย่างสูง ท่านนี้ เช่นเดียวกับเชคอับดุลอะซีซฺ อาล อัชเชค ประธานคณะตุลาการศาลฎีกาอิสลามแห่งซาอุดีอาระเบีย ซึ่ง ได้แสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งในลักษณะเดียวกัน.......

NAMA2 DAN GAMBAR Syuyukhul Azhar

Written By Unknown on วันเสาร์ที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2553 | 03:28



Syeikh Al-Azhar
1. Imam Muhammad Bin Abdullah al-Khurosyi
(???? - 1690)
|
2. Imam Muhammad Ibrahim Bin
Muhammad al-Barmawi
(1690 - 1694)
|
3. Syeikh Muhammad an-Nasyroti
(1694 - 1708)
|
4. Imam Abdul Baaqi al-Qulaini
(1708 - 1711)
|
5. Syeikh Muhammad Syinan
(1711 - 1720)
|
6. Syeikh Ibrahim Bin Musa al-Fayyumi
(1720 - 1724)
|
7. Imam Abdullah Bin Muhammad
Bin 'amir asy-Syubrawi
(1724 - 1757)
|
8. Syeikh Muhammad Bin Salim al-Hufni
(1757 - 1767)
|
9. Syeikh Abdul Rauf Bin Muhammad as-Sujaini
(1767 - 1768)
|
10. Syeikh Ahmad Bin Abdul Mun'im
Bin Siyam ad-Damanhuri
(1768 - 1776)
|
11. Imam Ahmad Bin Musa al-'arusi
(1778 - 1793)
|
12. Syeikh Abdullah asy-Syarqowi
(1793 - 1812)




(1793 - 1812)
|
13. Imam Muhammad Bin Ali Ibn Mansur Syanwani
(1812 - 1818)
|
14. Imam Muhammad Bin Ahmad
Bin Mursi Bin Daud al-'arusi
(1818 - 1829)
|
15. Imam Ahmad Zain Ali Bin Ahmad ad-Damahwaji
(1829 - 1830)
|
16. Syeikh Hassan Bin Muhammad Bin al-'ator
(1830 - 1834)
|
17. Imam Hassan Bin Darwish al-Quwaisani
(1834 - 1838)
|
18. Syeikh Ahmad Bin Abdul Jawwad as-Safti
(1838 - 1847)
|
19. Syeikh Ibrahim Bin Muhammad
Bin Ahmad al-Bajuri
(1847 - 1860)
|
20. Syeikh Mustafa Bin Muhammad
Bin Ahmad Bin Musa Bin Daud al'arusi
(1864 - 1870)
|
21. Syeikh Muhammad Mahdi Abbasi al-Hanafi
(1870 - 1882) & (1882 - 1886)
|
22. Syeikh Syamsuddin Muhammad Bin
Muhammad Bin Husain al-Anmbabi
(1882 - 1882) & (1886 - 1895)
|
23. Syeikh Hasunah Bin Abdullah an-Nawawi
(1896 - 1900) & (1909 - 1909)



|
24. Syeikh Abdul Rahman Qutb an-Nawawi
(1900 - 1900)
|
25. Syeikh Salim Bin Abi Farraj al-Bisyri
(1900 - 1904) & (1909 -1916)

|

26. Imam Ali Bin Muhammad al-Bablawi
(1904 - 1905)
|
27. Imam Abdul Rahman Bin Muhammad
Ibn Ahmad asy-Syarbini
(1905 - 1909)
|
28. Syeikh Muhammad Abu Fadhl al-Jizawi
(1916 - 1927)
|

29. Syeikh Muhammad Bin Mustafa
Bin Muhammad al-Maraghi
(1928 - 1929) & (1935 - 1945)
|

30. Syeikh Muhammad al-Ahmadi Ibrahim az-Zowahiri
(1929 - 1935)
|

31. Syeikh Mustafa Bin Ahmad
Bin Muhammad Bin Abdul Razik
(1945 - 1947)

|
32. Syeikh Muhammad Makmon asy-Syinwani
(1948 - 1950)
|

|
33. Syeikh Abdul Majid Salim
(1950 - 1951) & (1952 - 1952)
|

|
34. Syeikh Ibrahim Hamrusy
(1951 - 1952)
|


|
35. Syeikh Muhammad Khidir Hussain
(1952 - 1954)
|

|
36. Syeikh Abdul Rahman Taj
(1954 - 1958)
|


|
37. Syeikh Mahmud Syaltut
(1958 - 1963)
|

38. Syeikh Hassan Mustafa Makmon
(1963 - 1969)
|


|
39. Imam Dr. Muhammad Muhammad al-Fahham
(1969 - 1973)
|

|
40. Dr. Abdul Halim Bin Mahmud
(1973 - 1978)



|
41. Imam Akbar Dr. Muhammad Abdul Rahman Baisor
(1979 - 1982)
|


42. Syeikh Jadul Haq Ali Jadul Haq
(1982 - 1996)
|

|
43. Syeikh Muhammad Sayid Tontowi
(1996 - sekarang)



44..............?????


file:///F:/AL-AZHAR/SEJARAH%20AL-AZHAR/Grand%20Syeikh%20Al-Azhar.htm
ข้อมูลเพิ่มเติม ก้อปปี้ลิงค์ได้เลยครับ



*************terimakasih*******************

ประวัติมหาวิทยาลัยอัล-ฮัซฮัร

Written By Unknown on วันเสาร์ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2553 | 10:26

ประวัติมหาวิทยาลัยอัล-ฮัซฮัร

:ความเป็นมาของมหาลัยอัล-ฮัซฮัร:-

ในปีฮิจเราะฮ์ศักราชที่ 358 (ค.ศ.969) ท่านเญาฮัร อัซซอกลีย์ แม่ทัพของคอลิฟะฮ์ อัล-มุอิซ-ลิดีนิลลาฮ์แห่งราชวงศ์ฟาฏิมีย์ได้ทำการก่อตั้งเมืองไคโรขึ้นมา พร้อมกันนั้นก็ได้สร้างมัสยิดอัล-อัซฮัรใช้เวลาการก่อสร้างเป็นระยะเวลา 2 ปีเพื่อเป็นที่ศึกษาของนิกายชีอะห์อัลฟาตีมียะห์ และศูนย์กลางการศึกษาของประเทศหลังจากเสร็จสิ้นการสร้างอัง-อัซฮัรได้โด่งดังเลื่องลือไปทั่วนับตั้งแต่สมัยนั้นเป็นต้นมา
ต่อมาในเดือนรอมาฎอนปีฮิจเราะฮ์ศักราชที่ 365 (ค.ศ.957) ก็เริ่มวางรากฐานทางการศึกาในมัสยิดดังกล่าวโดยท่านอาบูฮัซซัน อาลี บิน ลุกมาน หัวหน้าปราชญ์นิกายชีอะห์ได้ทำการสอนหนังสืออัลคิคตีศอร เป็นหนังสือบทบัญญัติของนิกายชีอะห์ ซึ่งมีบิดาของเขา อาบูฮานีฟะห์ อัลนุมานเป็นผู้วางรากฐานให้จนเป็นที่เลื่องลือในนิกายชีอะ และเป็นบุคคลแรกที่ได้ชื่อว่าบิดาแห่งปราชญ์ในอียิปต์
นับจากนั้นเป็นต้นมาอัล-อัซฮัรเป็นมัสยิดที่โด่งดังในโลกอิสลามและเป็นมหาวิทยาลัยทีเก่าแก่ที่มีการเรียนการสอนวิชาด้านศานาและสามัญ ซึ่งรวบรวมถึงการอ่านพระคัมภีร์อัลกุรอาน การอรรถาธบายบทบัญญัติ พระวจนะของท่านศาสดามุฮัมมัด ปรัชญา ดาราศาสตร์ ไวยกรณ์และวรรณคดี ในขณะเดียวกันก็เน้นการเรียนการสอนกับบรรดาสตรีเช่นกัน
ต่อมาถึงสมัยซอลาฮุดดีนอัล-อัยยูบีย์ ฮ.ศ.567-589 ซึ่งเป็นผู้นำของอียิปต์ท่านหนึ่งได้เข้ายึดครองอัล-อัซฮัร และได้ดำเนินการทางด้านศาสนาในแนวทางซุนนีย์ ซึ่งในขณะนั้นรางวงศ์ฟาฎิมีย์ได้หมดอำนาจลง ต่อมาท่านศอลาอุดดีนได้สั่งการยกเลิกการละหมาดญุมอัตในมัสยิดอัล-อัซฮัร ทำให้มัสยิดแห่งนี้ว่างเว้นจากการละหมาดญุมอัตเป็นเวลาประมาณ 100 ปี และกลับมาทำการละหมาดอย่างปกติในสมัยของอัซ-ซอเฮร ไบบริส ซึ่งอยู่ในสมัยมัมลูกีย์
ในสมัยมัมลูกีย์ ฐานะอันสูงส่งของอัล-อัซฮัรได้ถูกฟื้นฟูขึ้นมาอีก ผู้ปกครองในสมัยนั้นได้ให้การดูแลเอาใจใส่ต่อการบริหาร การเงิน การก่อสร้าง ทำให้จำนวนนักศึกษาขยับขึ้นไปถึง 750 คน ซึ่งเดินทางมาจากเมืองต่าง ๆ และเหล่าสตรีก็มีบทบาทในยุคนั้นเช่นกัน เมื่อมูฮำหมัด อาลี บาชาเข้ามาปกครองอียิปต์ เขาได้สถาปนาอัล-อัซฮัรให้เป็นแหล่งการศึกษาที่ล้ำยุค โดยได้ส่งบุคลากรต่าง ๆ ให้ไปศึกษาต่อยังประเทศในแถบยุโรป
ในปีคริสตศักราช 1872 ได้มีการออกกฎหมายจัดระเบียบการศึกษาครั้งแรก และต่อมาในปี 1930 ได้ออกกฎหมายจัดระเบียบครั้งที่สอง โดยให้มีการศึกษาในระดับชั้นต้น ระดับมหาวิทยาลัย และการศึกษาชั้นสูง คณะนิติศาสตร์ ศาสนศาสตร์ และอักษรศาสตร์ ในปี 1961 ได้ออกกฎหมายให้มีการศึกษาทางด้านสายสามัญ แบ่งออกเป็นคณะแพทยศาสตร์ เกษตรศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ และคณะพาณิชการ

:จุดเด่นของมหาลัยอัล-อัซฮัร:-
ความเก่าแก่ซึ่งมีอายุถึงหนึ่งพันกว่าปี ของมหาวิทยาลัยอัล-อัซฮัร ทำให้เป็นจุดศูนย์กลางทางการศึกษาของคนมุสลิมทั่วทุกมุมโลก ดังนั้นมหาวิทยาลัยอัล-อัซฮัรจึงได้วางนโยบายและแบบแผ่นการศึกษาดังต่อไปนี้
1. เปิดรับสมัครนักศึกษามุสลิมที่ต้องการศึกษาในแต่ละสาขาวิชาการ และผู้ใฝ่ศึกษาในอิสลามอย่างจริงจัง
2. ปลูกฝังแนวความคิดอันถูกต้องในหมู่นักศึกษามุสลิม ยึดมั่นต่ออิสลามและเชิญชวนมนุษยชาติสู่สัจจะธรรม
3. พัฒนา ปรับปรุงหลักสูตรและโปรแกรมการเรียนการสอนเพื่อเป็นการยกระดับทางด้านจิตสำนึกแห่งอิสลามและความเป็นชาตินิยมแก่นักศึกษาทุกคน
4. ผลิตนักวิชาการอิสลามและผู้ทรงคุณวุฒิสามาวิชาต่าง ๆ แก่ประเทศโลกอาหรับ และอิสลาม ภายใต้หลักความรู้และการศรัทธาที่ถูกต้อง
5. ส่งเสริมให้มีการศึกษาระดับสูงในสาขาต่าง ๆ และส่งนักศึกษาไปต่างประเทศเพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์ใหม่ ๆ นำมาเป็นประโยชน์แก่ประเทศและโลกมุสลิม
6. สอดส่องดูแลกิจกรรมทางด้านวิชาการ และมีส่วนร่วมในการพัฒนาทางด้านวิชาการด้วยการกระชับความสัมพันธ์ระหว่างมหาวิทยาลัยทั่วโลก และหน่วยงานวิจัยเพื่อการศึกษาและเปลี่ยนความรู้และทักษะ

:ด้านภาษาต่างประเทศและการแปล:-
ในคณะอักษรศาสตร์ และการแปลของมหาวิทยาลัยอัล-อัซฮัร จะประกอบไปด้วย 9 สาขาด้วยกัน คือสา
ขาภาษาอังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน สเปน ตุรกี ฮิบรู เปอร์เซีย แอฟริกา และกลุ่มภาษายุโรป
ส่วนกลุ่มภาษายุโรปแบ่งออกเป็น 3 สาขา
1. วรรณคดี และอารยธรรม
2. การแปลภาษา
3. อิสลามศึกษา (ศึกษาศาสตร์)
ระยะเวลาการเรียน 4 ปี นอกจากสาขาอิสลามศึกษาซึ่งต้องเรียนเตรียมพิเศษใช้เวลาหนึ่งปี นักศึกษาต้องเรียนคัมภีร์
อัลกุรอาน อรรถาธิบายอัลกุรอาน พระวจนะศาสดา และความรู้เกี่ยวกับอิสลามทั่วไปด้วยภาษาต่างประเทศ เป้าหมายเพื่อให้นักศึกษามีความถนัดเรื่องการใช้ภาษาเพื่อใช้ในการแนะแนวและเผยแพร่ในต่างประเทศ

:การศึกษาของสตรีในมหาวิทยาลัยอัล-อัซฮัร:-
มหาวิทยาลัยอัล-อัซฮัรเปิดทำการสอนแก่สตรีมุสลีมะห์ในปีคริสตศักราช 1961 ด้วยการสร้างวิทยาลัยสตรีซึ่งมีอยู่หลายสาขาด้วยกันเพื่อศึกษาทางด้านการแพทย์ วิทยาศาสตร์ มนุษยศาสตร์ อิสลามศึกษาและภาษาอาหรับ หลังจากนั้นได้ปรับสาขาเหล่านี้ไปเป็นคณะต่างหาก อาทิเช่น การผนวกคณะเภสัชกรรมและเศรษฐศาสตร์ไว้ในคณะอิสลามศึกษาและภาษาอาหรับ และการผนวกคณะอิสลามศึกษาของวิทยาเขตจังหวัดอัซยูตและสาขาภาษายุโรปและการแปลไว้ในคณะมนุษย์ศาสตร์ เช่นกันได้ก่อตั้งคณะทันตกรรมศาสตร์ที่ไคโรปี 1998/1999 และคณะมนุษศาสตร์ที่จังหวัดตาฟาฮฺนา และกีนาในปี 1999/2000

:มาตรฐานการรับรองทางวิชาการ:-
มหาวิทยาลัยอัล-อัซฮัรได้ประสาทปริญญาแก่ผู้สำเร็จการศึกษาระดับประกาศนียบัตรชั้นสูง และระดับปริญญาตรีในทุกสาขาวิชา ซึ่งรวมถึงโปรแกรมการศึกษาในแต่ละสาขาวิชาของคณะต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
1. อนุปริญญาโทมีทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติใช้เวลาเรียนสองปีหรือสี่เทอมของการศึกษา
2. ระดับปริญญาโท
3. ระดับปริญญาเอก

:ระเบียบการรับสมัคร:-
1. ผู้ที่ได้รับใบประกาศนียบัตรมัธยมศึกษาตอนปลายของอัซ-ฮัร โดยยื่นใบสมัครผ่านสำนักงานรับสมัครของมหาวิทยาลัยอัล-อัซฮัร
2. ผู้ที่ได้รับประกาศนียบัตรทางด้านการอ่านคัมภีร์อัลกุรอ่าน โดยยื่นใบสมัครที่วิทยาลัยอัลกุรอาน ณ จังหวัดตอนตอ
3. ผู้ที่ได้รับประกาศนียบัตรอนุปริญญาตรีวิชาชีพครูอัล-อัซฮัร ทั้งชายและหญิงสมัครเรียนต่อที่คณะคุรุศาสตร์ได้แต่ต้องได้คะแนนร้อยละเจ็บสิบคะแนนขึ้นไปจากคะแนนทั้งหมด
4. นักศึกษาสตรีที่ได้รับใบประกาศนียบัตรมัธยมตอนปลายภาครัฐหรือเทียบเท่าสามารถสมัครเรียนได้ในสาขาภาษายุโรปและการแปลภาษาที่คณะมนุษยศาสตร์ในไคโรเท่านั้น

:นักศึกษาที่พิการทางด้านสายตาทั้งหญิงและชาย:-
มหาวิทยาลัยอัล-อัซฮัรเปิดรับสมัครเฉพาะคณะอักษรศาสตร์ คณะศาสนศาสตร์ คณะนิติศาสตร์
และกฎหมายสากลในไคโร และวิทยาเขตต่างจังหวัด อาทิเช่น ดุมยาต กีนา อัซวาน ส่วนคณะคุรุศาสตร์ในไคโรเปิดรับสมัครสองสาขาด้วยกัน คือ สาขาศึกษาศาสตร์ และสาขาอักษรศาสตร์ เอกภาษาอาหรับ

:นักศึกษาต่างชาติ:-
มหาวิทยาลัยอัล-ฮัซฮัรเปิดรับสมัครนักเรียนต่างชาติที่ได้รับประกาศนียบัตรมัธยมตอนปลายในเครืออัล-อัซฮัร หรือประกาศนียบัตรของสถาบันวิจัยอิสลามประเทศอียิปต์ และผู้ที่ได้ประกาศนียบัตรมัธยมตอนปลายของภาครัฐหรือว่าเทียบเท่า

:การวิจัยด้านวิชาการ:-
ทางมหาวิทยาลัยให้ความสำคัญด้านวิจัยทางวิชาการเป็นอย่างมาก โดยจัดให้มีการค้นคว้าวิจัยและปฏิบัติการ ซึ่งมีศูนย์ปฏิบัติการอยู่หลายคณะด้วยกัน โดยเน้นการค้นคว้าในเชิงปฏิบัติเพื่อเชื่อมประสานระหว่างมหาวิทยาลัยกับชุมชน ทางฮัซฮัรมีศูนย์วิชาการสาขาต่าง ๆ และศูนย์วิจัย ซึ่งสร้างขึ้นมาเพื่อศึกษาและค้นคว้าเฉพาะด้านในทุกแขนง เช่น ด้านการแพทย์ มนุษยศาสตร์ เกษตรกรรม อาทิเช่น ศูนย์วิจัยโรคหัวใจ ศูนย์ศึกษาภาษาสำหรับผู้ไม่เข้าใจในภาษาอาหรับ ศูนย์ศึกษาและวิจัยด้านสถิติอื่น ๆ ฯลฯ

:ด้านสาธารณสุข:-
มหาวิทยาลัยอัล-อัซฮัรเปิดบริการด้านสาธารณสุขแก่นักศึกษาคณะครู และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องในมหาวิทยาลัยด้วยโรงพยาบาลของมหาวิทยาลัยเอง เช่น โรงพยาบาลฮุเซ็น โรงพยาบาลซะรออฺ โรงพยาบาลลาบุลชะรียะห์ และขณะนี้ทางมหาวิทยาลัยกำลังก่อสร้าง โรงพยาบาลอัล-อัซฮัร ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ของอัซฮัที่เมืองนัศรฺ กรุงไคโร

:หอสมุดมหาวิทยาลัยอัล-อัซฮัร:-
มหาวิทยาลัยอัล-อัซฮัรเล็งเห็นความสำคัญของการศึกษา การค้นคว้า และการให้บริการสังคมโดยการสร้างหอสมุดเพื่อบริการนักศึกษาระดับมหาวิทยาลัย ผู้ศึกษาปริญญาโท คณาจารย์ และเจ้าหน้าที่ของมหาวิทยาลัย
หอสมุดศูนย์กลางมหาวิทยาลัยอัล-อัซฮัรประกอบไปด้วยหลายสาขา มีหนังสืออยู่ประมาณ 51,016 เล่มทั้งภาษาอาหรับและภาษาต่างประเทศ และยังมีห้องสมุดที่รวบรวมหนังสือวิทยานิพนธ์อยู่ 10,110 เล่มในระดับปริญญาโทและปริญญาเอก ภาษาอาหรับและภาษาต่างประเทศมหาวิทยาลัยยังมีห้องสมุดประจำคณะอีก 50 แห่ง มีห้องสมุดประจำหอประชุมอิสลาม มีห้องโกดังเก็บหนังสือเพื่อการแลกเปลี่ยนและสิ่งพิมพ์เพื่อการแจกจ่ายของหอประชุมอิสลาม มีหนังสือสำรองอยู่ประมาณ 31,466 เล่ม

:หอพักนักศึกษา:-
อัล-อัซฮัรมีเจตนารมณ์ตั้งแต่แรกเริ่มในการดูแลอุปถัมภ์นักศึกษาต่างชาติ และถ่ายทอดความรู้ไปสู่ทั่วทุกมุมโลก โดยจัดเตรียมที่พักอาศัยและปัจจัยยังชีพ ถือได้ว่าอัล-อัซฮัรเป็นสถาบันแห่งแรกในโลกที่ริเริ่มการสร้างหอพักนักศึกษาสำหรับรองรับนักศึกษาชาวอียิปต์เองและนักศึกษามุสลิมจากทั่วโลก ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ.1972/1973 มหาวิทยาลัยอัล-อัซฮัรได้เปิดหอนักศึกษาสำหรับชาวอียิปต์ที่เมืองนัศรฺ ไคโร จนถึงปัจจุบันทางมหาวิทยาลัยมีหอพักนักศึกษาชายและหญิงทั้งในไคโรและวิทยาเขตต่างจังหวัด นอกจากนั้นยังมีหอพักสตรีที่เตรียมไว้นอกอาณาเขต ซึ่งในหอพักนักศึกษาทางมหาวิทยาลัยได้เตรียมอำนวยความสะดวกต่าง ๆ เช่น โรงอาหาร สนามกีฬา และโรงยิม ฯลฯ

:กิจกรรมนักศึกษาทางด้านวิชาการ ศิลปะ และกีฬา:-
มหาวิทยาลัยอัล-อัซฮัรได้ให้ความสำคัญต่อการบริการสังคม ด้วยการเน้นแบบแผนกิจกรรมต่าง ๆ ทางด้านวิชาการ ศิลปะและการกีฬา โดยจัดให้มีบุคลากรแต่ละด้านเป็นการพิเศษ เช่น การแข่งขันทางวิชาการ ศิลปะและวัฒนธรรม ทางมหาวิทยาลัยได้เปิดศูนย์ศิลปะ 2 อาคารด้วยกัน อาคารแรกชื่ออาคารมูฮัมมัด อับดุฮฺ ที่เขตดัรรอซะฮฺ และอาคารที่สองคณะเกษตรศาสตร์ ที่เมืองนัศรฺ ไคโร นักศึกษาได้มีโอกาสแสดงศิลปะกิจกรรมต่าง ๆ อย่างเช่น การแสดงดนตรีพื้นเมืองและงานเขียนต่าง ๆ

:บุคคลสำคัญที่ผ่านการเจียระไนจากอัล-อัซฮัร:-
บุคคลที่สำคัญในประวัติศาสตร์ที่ผ่านการศึกษาจากมหาวิทยาลัยอัล-อัซฮัรล้วนเป็นผู้นำทางด้านการเมืองและทางด้านนักคิดนักพัฒนาในประเทศอียิปต์ เช่น ชัยคฺอับดุลลอฮฺ อัชชัรกอวีย์ และมุฮัมมัดอัซ-ซาดาต ผู้นำขับไล่การยึดครองฝรั่งเศสต่อประเทศอียิปต์ อะหมัดอารอบีย์ อิหม่ามมุฮัมมัด อับดุฮฺ สะอัดซัคลูล และอีหลาย ๆ ท่าน ที่มีบทบาทสำคัญในประเทศอียิปต์ทั้งในอดีตและปัจจุบัน
 
Support : Creating Website | Johny Template | Mas Template
Copyright © 2011. Persatuan Usrah Ainshams Mesir Patani - All Rights Reserved
Template Created by Creating Website
Proudly powered by Blogger